Hot Topic! “กำไรบังตา”? หุ้นแบงก์ดูดี แต่มีสิ่งที่คนหวังปันผล “ต้องเช็ค” ด่วน!” | Hot Topic! EP.29
“กำไรบังตา“? หุ้นแบงก์ดูดี แต่มีสิ่งที่คนหวังปันผล “ต้องเช็ค” ด่วน!”
ช่วงที่งบการเงินไตรมาส 3 ของบริษัทในตลาดหุ้นเริ่มทยอยประกาศออกมา กลุ่มแรก ๆ ที่ดึงดูดความสนใจคือ กลุ่มธนาคาร ภายใต้หัวข้อร้อนแรงที่ว่า “หุ้นแบงก์ กำไรโตยกแผง” ซึ่งนับเป็นปรากฏการณ์ที่น่าสนใจอย่างยิ่ง อย่างไรก็ตาม, แม้ว่าทุกตัวจะมีกำไรที่เติบโตขึ้น แต่ก็มีตัวเลขบางอย่างที่ซ่อนอยู่ในงบของทุกธนาคารในแพทเทิร์นเดียวกัน ซึ่งผู้เชี่ยวชาญมองว่าเป็น ความเสี่ยง ที่นักลงทุนมือใหม่อาจมองข้ามไป โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คนที่ตั้งใจจะถือเอาปันผล ควรต้องระวังเรื่องนี้เป็นพิเศษ เพราะความเสี่ยงดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่อเงินปันผลที่จะได้รับ รวมถึงราคาหุ้นหากกำไรลดลง
ประเด็นนี้ถูกยกมาพูดคุยอย่างละเอียดระหว่าง อาจารย์ประพาส และ เบิร์ดจากช่องลงทุนกล้วยๆ ในการวิเคราะห์เจาะลึกงบการเงินของธนาคาร ก่อนหน้านี้เคยมีการแจ้งเตือนมาก่อนว่า งบธนาคารในปีนี้อาจจะไม่ค่อยดีนัก แต่เมื่อผลประกอบการไตรมาส 3 ออกมา กลับพบว่ากำไรเติบโตกันหมด ดังนั้น การแกะไส้ในและทำความเข้าใจสาเหตุที่ทำให้บริษัทมีกำไรเติบโตจึงเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อให้เราสามารถประเมินได้ว่าปัจจัยที่เกิดขึ้นนั้นเป็นปัจจัย ชั่วคราวหรือถาวร
การลงทุนด้วยความรู้และความเข้าใจงบการเงินอย่างแท้จริงมีความจำเป็นอย่างยิ่ง ไม่ใช่แค่การดูเพียงกำไรสุทธิเท่านั้น เพราะ “ปีศาจร้ายมักอยู่ในรายละเอียด” (The Devil is in the detail)
ภาพรวม กำไรธนาคารในไตรมาส 3 ที่เติบโตอย่างน่าประหลาดใจ
งบการเงินของหุ้นธนาคารเริ่มประกาศออกมาในช่วงตุลาคม และผลลัพธ์ที่ปรากฏออกมานั้นแสดงให้เห็นว่า กำไรของธนาคารต่าง ๆ เติบโตขึ้นทั้งหมด
ยกตัวอย่างเช่น
• KBANK (กสิกร) กำไรสุทธิเติบโตจาก 12,000 ล้านบาท (Q3 ปีที่แล้ว) เป็น 13,000 ล้านบาท (Q3 ปีนี้) หรือเติบโตประมาณ 700-800 ล้านบาท
• KTB (กรุงไทย) กำไรสุทธิพุ่งสูงมาก จาก 10,000 ล้านบาท (Q3 ปีที่แล้ว) เป็น 14,600 ล้านบาท (Q3 ปีนี้) ซึ่งเพิ่มขึ้นถึง 3,000 ล้านบาท
• SCB (ไทยพาณิชย์) กำไรสุทธิเติบโต 10%
• BAY (กรุงศรี) กำไรสุทธิเติบโตจาก 7,600 ล้านบาท เป็น 8,700 ล้านบาท หรือเติบโตประมาณ 1,000 ล้านบาท
• KKP (เกียรตินาคินภัทร) กำไรเติบโตจาก 1,300 ล้านบาท เป็น 1,600 ล้านบาท
ตัวเลขกำไรสุทธิเหล่านี้อาจทำให้นักลงทุนหลายคนรู้สึกมั่นใจและมองว่าธุรกิจธนาคารยังคงแข็งแกร่ง อย่างไรก็ตาม, เมื่อลงลึกในรายละเอียดทางการเงินกลับพบสัญญาณที่น่ากังวล
ธุรกิจหลักหดตัว สัญญาณจากรายได้ดอกเบี้ยสุทธิที่ลดลง
หลักการสำคัญของธุรกิจธนาคารคือการเป็นคนกลาง กู้เงินจากประชาชนผ่านเงินฝาก (จ่ายดอกเบี้ย) แล้วนำเงินนั้นไปปล่อยสินเชื่อ (รับดอกเบี้ย) โดยมีส่วนต่าง รายได้ดอกเบี้ยสุทธิ จึงเป็นรายได้หลักของธนาคาร ซึ่งคำนวณจาก ดอกเบี้ยรับ หักด้วย ดอกเบี้ยจ่าย
อาจารย์ประพาส ชี้ว่า สาเหตุที่งบธนาคารไม่น่าจะดีในปีนี้เกี่ยวข้องกับ แนวโน้มดอกเบี้ยขาลง สินเชื่อส่วนใหญ่ของธนาคารเป็นสินเชื่อแบบดอกเบี้ยลอยตัว (Floating Rate) เมื่อธนาคารชาติปรับลดดอกเบี้ยลง (ซึ่งอยู่ในช่วงขาลงมาประมาณปีหนึ่งแล้ว) ดอกเบี้ยสินเชื่อก็ต้องลดตาม แม้ว่าดอกเบี้ยจ่าย (ดอกเบี้ยเงินฝาก) จะลดตามด้วย แต่โดยรวมแล้ว ช่องว่าง (Gap) ดังกล่าวทำให้กำไรโดยรวมของธุรกิจธนาคารจะลดลง
จากการตรวจสอบงบของธนาคารหลายแห่ง พบว่ารายได้ดอกเบี้ยสุทธิ (ธุรกิจหลัก) มีแนวโน้มลดลงเป็นส่วนใหญ่
• KBANK รายได้ดอกเบี้ยสุทธิ ลดลง 2,500 ล้านบาท เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว
• KTB รายได้ดอกเบี้ยสุทธิ ลดลงถึง 4,000 ล้านบาท
• SCB รายได้ดอกเบี้ยสุทธิ ลดลง 10% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
• KKP รายได้ดอกเบี้ยสุทธิ ลดลง 700 ล้านบาท
นี่คือภาพรวมที่สำคัญมาก ธุรกิจหลักของธนาคารส่วนใหญ่กำลังหดตัวลง ซึ่งเป็นผลจากแนวโน้มดอกเบี้ยขาลงที่ยังคงดำเนินต่อไปและอาจจะยังลงไม่สุด หากดอกเบี้ยยังคงเป็นขาลงอยู่ แนวโน้มรายได้ดอกเบี้ยสุทธิของธนาคารก็จะลดลงต่อไปอีกสักระยะหนึ่งอย่างแน่นอน
ปัจจัยชั่วคราวที่ทำให้กำไรสุทธิพุ่งสูง
เมื่อรายได้หลักลดลง แต่กำไรสุทธิกลับเพิ่มขึ้น แสดงว่าต้องมีรายได้อื่นหรือปัจจัยอื่นเข้ามาทดแทน เบิร์ดจากช่องลงทุนกล้วยๆ และ อาจารย์ประพาส ได้เจาะลึกถึง “ไส้ใน” ของงบการเงินและพบว่ากำไรที่โตขึ้นนั้นมาจากปัจจัยหลายประการที่อาจไม่ยั่งยืน
3.1 การตั้งสำรองที่ลดลง (ECL Reduction)
ปัจจัยสำคัญที่ช่วยหนุนกำไรของบางธนาคารคือการตั้งสำรองหนี้เสียลดลง ชื่อใหม่เต็ม ๆ ของการตั้งสำรองหนี้เสียคือ ผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น (Expected Credit Loss หรือ ECL)
• KBANK กำไรที่เพิ่มขึ้น 800 ล้านบาท ส่วนใหญ่ มาจากการตั้ง ECL ลดลงถึง 1,500 ล้านบาท การที่ ECL ลดลง อาจเป็นไปได้ว่า NPL ลดลง เนื่องจากภาระหนี้ของประชาชนบรรเทาลงในช่วงดอกเบี้ยขาลง
• KTB ECL ลดลงไป 1,000 ล้านบาท
อาจารย์ประพาส อธิบายว่า กำไรสุทธิของหุ้นการเงินทุกตัว มีหัวใจสำคัญอยู่ที่ ECL ด้วย เพราะผู้บริหารสามารถใช้ Management Overlay หรือการตั้งสำรองเผื่อในอนาคตเพื่อทำให้กำไรดูดีขึ้นชั่วคราวได้ ทำให้งบการเงินของหุ้นกลุ่มนี้สามารถ “ควบคุมกำไรได้ระดับหนึ่ง”
3.2 รายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยและกำไรจากการลงทุน
แหล่งรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ย (Non-interest income) หรือ “รายการอื่น” เป็นก้อนหลักที่ทำให้กำไรโดยรวมเติบโต
• KTB รายได้จากการดำเนินงานอื่น เพิ่มขึ้นถึง 5,000 ล้านบาท เมื่อเจาะลึกไส้ในพบว่าหลัก ๆ มาจาก
1. กำไรขาดทุนจากเครื่องมือทางการเงินที่วัดมูลค่าด้วยมูลค่ายุติธรรม (FVTPL) เพิ่มขึ้นเกือบ 3,000 ล้านบาท
2. กำไรสุทธิจากการขายและการลงทุน เพิ่มขึ้นอีก 1,500-1,800 ล้านบาท
◦ สองก้อนนี้รวมกันเกือบ 5,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นกำไรที่เกิดจากการที่ธนาคารนำเงินไปลงทุนในสินทรัพย์อื่น (เช่น หุ้นหรือตราสารหนี้) และเมื่อดอกเบี้ยลดลง มูลค่าสินทรัพย์เหล่านี้อาจเพิ่มขึ้น ทำให้ธนาคารสามารถขายทำกำไรได้
• KKP รายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยโตถึง 50% โดยเฉพาะ “กำไรสุทธิจากเครื่องมือทางการเงิน” เพิ่มขึ้นจาก 60 ล้านบาทเป็น 660 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 10 เท่า (1,000%) ในไตรมาสเดียว
◦ จากข้อมูล 9 เดือนแรก KKP มีกำไรจากส่วนนี้เพิ่มขึ้น 300 ล้านบาท แต่ไตรมาส 3 ไตรมาสเดียวบวกไป 600 ล้านบาท ซึ่งแสดงว่า 6 เดือนแรกยังติดลบอยู่ ตัวเลขที่พุ่งสูงขนาดนี้ในไตรมาสเดียวชี้ให้เห็นชัดเจนว่า ตัวเลขนี้ไม่สม่ำเสมอ
• SCB รายได้ “อื่น ๆ” โต 100% (เพิ่ม 400 ล้านบาท)
• BAY รายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยโตถึง 4,000 ล้านบาท
3.3 การบริหารจัดการต้นทุนเชิงรุก (ลดดอกเบี้ยจ่าย)
ในบางกรณี, กำไรดอกเบี้ยสุทธิที่ดูดีขึ้นเล็กน้อยในไตรมาส 3 นั้น ไม่ได้มาจากรายได้ดอกเบี้ยรับที่เพิ่มขึ้น แต่มาจากต้นทุนดอกเบี้ยจ่ายที่ลดลงอย่างมาก
• BAY รายได้ดอกเบี้ยรับลดลง 4% แต่ดอกเบี้ยจ่าย (ดอกเบี้ยเงินฝาก) ลดลงถึง 19% โดยเฉพาะดอกเบี้ยเงินฝากรับ ลดลงถึง 35% จาก 7,600 ล้านบาท เหลือ 4,900 ล้านบาท (ลดลงกว่า 2,700 ล้านบาท)
• การลดลงมหาศาลนี้เกิดจากการบริหารจัดการต้นทุนทางการเงินเชิงรุก มีการปรับโครงสร้างเงินรับฝาก และยอดเงินรับฝากที่ลดลง
ข้อควรระวังสำหรับนักลงทุนที่เน้นปันผล
จากการวิเคราะห์อย่างละเอียดที่ อาจารย์ประพาส และ เบิร์ดจากช่องลงทุนกล้วยๆ ได้นำเสนอ สรุปได้ว่า กำไรที่เพิ่มขึ้นของกลุ่มธนาคารมาจากการชดเชยด้วยปัจจัยที่อาจไม่ยั่งยืน
- รายได้หลักถูกกดดัน แนวโน้มดอกเบี้ยขาลงยังคงอยู่ รายได้ดอกเบี้ยสุทธิ ซึ่งเป็นรายได้หลักจึงมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง
- รายได้ชดเชยไม่แน่นอน รายได้เสริมต่าง ๆ เช่น กำไรจากการลงทุน (การขายสินทรัพย์) หรือรายได้อื่น ๆ ที่พุ่งขึ้นแบบก้าวกระโดด อาจเป็นเพียงปัจจัยชั่วคราว การที่ตัวเลขกำไรจากการลงทุนพุ่งสูงในไตรมาส 3 ในขณะที่ 6 เดือนแรกอาจยังติดลบ หรือไตรมาสก่อนหน้ามีกำไรน้อยมาก สะท้อนว่าตัวเลขเหล่านี้มีความผันผวนและไม่สม่ำเสมอ
- ความเสี่ยงต่อปันผลและราคาหุ้น หากไตรมาสต่อ ๆ ไป รายได้จากการลงทุนเหล่านี้ไม่สามารถเติบโตเพื่อมา “โปะ” กับรายได้หลักที่หดตัวได้ กำไรสุทธิก็จะลดลง ซึ่งแน่นอนว่าจะส่งผลกระทบต่อราคาหุ้น และที่สำคัญที่สุดคือ เงินปันผลที่คาดหวังก็จะอาจลดลงตามไปด้วย
อาจารย์ประพาส ย้ำเตือนว่า นักลงทุนที่ซื้อหุ้นเพื่อหวังเงินปันผลจะต้องตระหนักถึงความเสี่ยงข้อนี้ หากเกิดวิกฤตเศรษฐกิจขึ้นมาอีกครั้ง ECL หรือหนี้เสียก็จะพุ่งสูงขึ้น และธนาคารจะต้องตั้งสำรองเพิ่ม ซึ่งจะยิ่งเป็นตัวคูณที่กดดันกำไร
แนวทางการวิเคราะห์เชิงลึกที่ต้องใส่ใจรายละเอียด
นักลงทุนที่ดีควรต้องเข้าใจงบการเงินอย่างลึกซึ้ง และไม่ควรดูแค่ตัวเลขกำไรสุทธิเพียงอย่างเดียว การทำความเข้าใจ MD&A (Management Discussion and Analysis) หรือคำอธิบายและการวิเคราะห์ของฝ่ายจัดการจึงเป็นสิ่งจำเป็น
อาจารย์ประพาส ชี้ให้เห็นว่า MD&A ของธุรกิจธนาคารนั้นมีความยาวและซับซ้อนอย่างยิ่ง
• IDG (หุ้น IPO ใหม่) MD&A มีเพียง 4 หน้า
• KBANK มี 15 หน้า
• KTB มี 18 หน้า
• SCB มี 27 หน้า
• BAY มีถึง 31 หน้า
ความซับซ้อนและความยาวของเอกสารเหล่านี้แสดงให้เห็นว่า การจะเข้าใจธุรกิจธนาคารอย่างแท้จริง ต้องใช้ความสามารถและเวลาในการแกะรายละเอียดอย่างหนักมาก การลงทุนด้วยความรู้ ไม่ใช่ความไม่รู้ มีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะสถิติแสดงให้เห็นว่านักลงทุนส่วนใหญ่ในไทยกว่า 80-90% ขาดทุน
ดังนั้น, เบิร์ดจากช่องลงทุนกล้วยๆ และ อาจารย์ประพาส จึงฝากข้อคิดไว้ว่า การลงทุนในหุ้นที่คาดหวัง Passive Income จากปันผลนั้น ควรต้องใส่ใจติดตามผลประกอบการอย่างใกล้ชิด เพื่อให้เราสามารถพิจารณาได้ว่า ปัจจัยที่ทำให้กำไรโตนั้นเป็น ชั่วคราวหรือถาวร ก่อนตัดสินใจซื้อหุ้น
(หมายเหตุ การวิเคราะห์เชิงลึกและการเก็บรายละเอียดที่เข้มข้นนี้ เป็นสิ่งที่ อาจารย์ประพาส เน้นย้ำเสมอ ซึ่งเป็นปรัชญาหลักในการเรียนรู้ในคอร์สต่าง ๆ ของท่าน ทั้งคอร์ส VI Turn Pro ที่เน้นการเติบโตของพอร์ตอย่างเต็มรูปแบบ และคอร์สหุ้นปันผล Super Dividend ที่เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการ Passive Income สม่ำเสมอโดยใช้เวลาในการวิเคราะห์น้อยกว่า)

