สอน 5 พื้นฐานซื้อหุ้นปันผล ครบจบในคลิปเดียว (ฉบับมือใหม่) | EP.166
สอน 5 พื้นฐานซื้อหุ้นปันผล ครบจบในคลิปเดียว (ฉบับมือใหม่)
การลงทุนใน “หุ้นปันผล” อาจเป็นเรื่องที่น่าสับสนสำหรับ นักลงทุนมือใหม่ หลายท่าน โดยเฉพาะเมื่อต้องเจอกับคำถามพื้นฐานมากมายที่ไม่แน่ใจว่าจะเริ่มต้นจากตรงไหน
บทความนี้ได้สรุปเนื้อหาสำคัญจาก อาจารย์ประพาส และ คุณเบิร์ด จากช่องลงทุนกล้วยๆ ที่จะมาตอบ 5 คำถามยอดนิยมเกี่ยวกับ หุ้นปันผล เพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องและช่วยให้คุณเริ่มต้นลงทุนได้อย่างมั่นใจ
5 คำถามพื้นฐานเรื่อง “หุ้นปันผล” ที่ มือใหม่ ต้องรู้
- เงินปันผลหุ้นมาจากไหน?
- วิธีคำนวณ Dividend Yield หรืออัตราผลตอบแทนเงินปันผล
- ต้องซื้อหุ้นตอนไหนถึงได้ปันผล?
- ซื้อหุ้นปันผลเร็วหรือช้า แบบไหนคุ้มค่ากว่ากัน?
- รวม 5 คำศัพท์หุ้นปันผลที่นักลงทุนมือใหม่ต้องรู้
1. เงินปันผลหุ้น มาจากไหน? รู้จักที่มาของ Passive Income
โดยหลักแล้ว เงินปันผลมาจาก “กำไรสุทธิ” ที่บริษัททำได้จากการดำเนินธุรกิจตามปกติ เมื่อบริษัทมีการขายสินค้าหรือบริการ หักค่าใช้จ่ายทั้งหมดแล้ว ก็จะเหลือเป็นกำไรสุทธิ หลังจากนั้น บริษัทจะพิจารณาว่าจะนำกำไรสุทธินี้ไปทำอะไรต่อ ซึ่งมี 3 ทางเลือกหลักๆ คือ
- นำไปลงทุนต่อ ขยายสาขา หรือพัฒนาธุรกิจ
- นำไปชำระหนี้ ที่เคยกู้ยืมมา
- นำมาปันผลให้กับผู้ถือหุ้น ตามสัดส่วนการถือหุ้น
ยกตัวอย่างเช่น หากบริษัทมีกำไร 10 ล้านบาท และมีหุ้น 10 ล้านหุ้น เท่ากับมีกำไรต่อหุ้น 1 บาท หากบริษัทตัดสินใจนำกำไรครึ่งหนึ่ง (50 สตางค์ต่อหุ้น) มาจ่ายเป็นเงินปันผล ผู้ถือหุ้นก็จะได้รับเงินปันผลคนละ 50 สตางค์
ข้อควรระวัง (Yellow Flag) ที่ต้องจับตา
อาจารย์ประพาส เน้นย้ำว่า
หากบริษัทไม่มีเงินสดเพียงพอที่จะจ่ายปันผล แล้วต้องไปกู้หนี้ยืมสินมาจ่าย ถือเป็นสัญญาณที่ไม่ดีนัก เพราะการกู้ยืมมาจ่ายปันผลจะเพิ่มภาระดอกเบี้ยและต้นทุนให้กับบริษัท นอกจากนี้ ในบางกรณี บริษัทที่ไม่มีกำไรในปีนั้นๆ ก็ยังสามารถจ่ายเงินปันผลได้ โดยดึงมาจาก “กำไรสะสม” ซึ่งคือกำไรที่สะสมมาตั้งแต่อดีตและยังไม่ได้จ่ายออกไป อย่างไรก็ตาม หากบริษัทไม่มีกำไรและเงินสดก็ไม่ค่อยมี แต่ยังพยายามดึงกำไรสะสมมาจ่ายปันผลเพื่อเอาใจผู้ถือหุ้นรายใหญ่ นี่ก็เป็นสัญญาณอันตรายที่แสดงให้เห็นถึงวินัยทางการเงินที่ไม่ดี และกระแสเงินสดในบริษัทที่ไม่แข็งแรง
ตัวเลขเหล่านี้สามารถตรวจสอบได้จาก งบการเงินของบริษัท
2. ปันผล ที่เป็นเปอร์เซ็นต์ (Dividend Yield) คำนวณอย่างไร?
ความจริงแล้ว บริษัทไม่ได้เลือกจ่ายปันผลเป็นเปอร์เซ็นต์ แต่เปอร์เซ็นต์ที่เราเห็นนั้น มีที่มาจากการนำ “เงินปันผลต่อหุ้น” (Dividend Per Share DPS) มาคำนวณเทียบกับ “ราคาหุ้น” อีกทีหนึ่ง
สูตรการคำนวณคือ Dividend Yield (%) = (เงินปันผลต่อหุ้น / ราคาหุ้น) x 100%
ยกตัวอย่าง บริษัทจ่ายปันผล 0.50 บาทต่อหุ้น หากราคาหุ้นอยู่ที่ 10 บาท เปอร์เซ็นต์ปันผลจะเท่ากับ (0.50 / 10) x 100% = 5%
อาจารย์ประพาส ชี้ว่า เปอร์เซ็นต์ปันผลไม่ได้ขึ้นอยู่กับบริษัท แต่ขึ้นอยู่กับ “ราคาหุ้น” บางครั้งเปอร์เซ็นต์ปันผลที่ต่ำอาจเป็นเพราะราคาหุ้นสูง ในทางกลับกัน เปอร์เซ็นต์ปันผลที่สูงอาจเกิดจากราคาหุ้นที่ลดลงมามาก ซึ่งเป็นสิ่งที่นักลงทุนต้องระวัง (ตัวอย่างหุ้น CPALL)
3. ซื้อตอนไหนถึงจะได้ เงินปันผล?
คำตอบสั้นๆ คือ คุณต้อง ซื้อหุ้นก่อนวันขึ้นเครื่องหมาย XD (Exclude Dividend)
เครื่องหมาย XD เป็นสัญลักษณ์ที่แสดงว่า ผู้ที่ซื้อหุ้นในวันหรือหลังวันขึ้นเครื่องหมาย XD จะไม่มีสิทธิ์ได้รับเงินปันผลสำหรับรอบนั้น และต้องรอรอบถัดไป
4. ซื้อหุ้นเร็ว – ซื้อหุ้นช้า ต่างกันไหม? คำตอบคือ “ต่าง” และตลาดมีความยุติธรรมเสมอ
หลายคนอาจคิดว่า การซื้อหุ้นก่อนวันขึ้น XD เพียงวันเดียวเพื่อหวัง “ปันผลฟรี” เป็นความคิดที่ฉลาด แต่ความจริงแล้วอาจทำให้คุณ “ขาดทุน”
- คนที่ซื้อเร็ว (ต้นปี) จะได้หุ้นในราคาที่ถูกกว่า เพราะราคายังไม่สะท้อนกำไรที่เกิดขึ้นตลอดทั้งปี
- คนที่ซื้อช้า (ใกล้ XD) จะซื้อหุ้นในราคาที่สูงขึ้น ซึ่งสะท้อนผลประกอบการที่ดีและเงินปันผลที่กำลังจะจ่ายไปแล้ว
กลไกการปรับราคาหุ้น หลัง XD
ในวันขึ้นเครื่องหมาย XD โดยทั่วไป ราคาหุ้นจะปรับลดลงเท่ากับจำนวนเงินปันผลที่จ่ายออกไป เช่น หากหุ้นราคา 11 บาท และจ่ายปันผล 1 บาท ในวันขึ้น XD ราคาหุ้นจะเปิดที่ประมาณ 10 บาท เพราะเงินสด 1 บาทได้ออกจากบริษัทไปแล้ว
ทำไมซื้อใกล้ XD ถึงไม่คุ้ม?
เพราะเงินปันผลต้องเสีย ภาษี ณ ที่จ่าย 10% หากคุณซื้อหุ้นที่ราคา 11 บาท ได้ปันผล 1 บาท (รับจริง 0.90 บาท) และราคาหุ้นลดลงเหลือ 10 บาท เท่ากับว่าคุณจะขาดทุนทันที 10 สตางค์ (ยังไม่รวมค่าคอมมิชชั่น)
5. รวม 5 คำศัพท์หุ้นปันผล ที่ต้องรู้ก่อน ลงทุน
1. Dividend Per Share (DPS) – เงินปันผลต่อหุ้น
นี่คือ สิ่งสำคัญที่สุด ที่ควรโฟกัส เป็นจำนวนเงินบาทจริงๆ ที่บริษัทจ่ายต่อหุ้น เราควรหาหุ้นที่ DPS สม่ำเสมอและเติบโตในระยะยาว
2. Dividend Yield – อัตราผลตอบแทนเงินปันผล
คืออัตราผลตอบแทนเงินปันผลที่คำนวณจาก (เงินปันผลต่อหุ้น / ราคาหุ้น) x 100% ข้อควรระวัง อย่าติดกับดัก Yield สูงๆ เพราะอาจเกิดจากราคาหุ้นที่ตกลงมาอย่างหนัก (กรณีศึกษาหุ้น Land and House)
3. นโยบายปันผล (Dividend Policy)
คือนโยบายที่บริษัทประกาศว่าจะจ่ายปันผลกี่เปอร์เซ็นต์ของกำไรสุทธิ เป็นเพียง “แนวทางขั้นต่ำ” ไม่ใช่ข้อบังคับตายตัว บริษัทอาจเปลี่ยนแปลงได้หากต้องการใช้เงินลงทุน
4. อัตราการจ่ายปันผล (Dividend Payout Ratio)
คืออัตราส่วนของกำไรที่บริษัท จ่ายออกมาเป็นเงินปันผลจริงๆ ในอดีต สิ่งนี้สำคัญกว่า Dividend Policy เพราะแสดงถึงพฤติกรรมการจ่ายเงินที่เกิดขึ้นจริง ควรดูย้อนหลังหลายๆ ปีเพื่อเช็กความสม่ำเสมอ (ตัวอย่างหุ้น CPALL และ HomePro)
5. XD (Exclude Dividend) – วันที่ไม่รวมปันผล
คือวัน “ปักหมุด” หรือวันตัดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่จะมีสิทธิ์ได้รับเงินปันผลในรอบนั้นๆ
บทสรุป 5 ประเด็นสำคัญสำหรับนักลงทุนหุ้นปันผลมือใหม่
- ที่มาของเงินปันผล มาจาก “กำไรของบริษัท” ไม่ใช่การกู้ยืม
- เปอร์เซ็นต์ปันผล เป็นผลลัพธ์จาก (เงินปันผล / ราคาหุ้น) ระวังกับดัก Yield สูงที่เกิดจากราคาหุ้นตก
- เวลาที่ต้องซื้อ ก่อนวันขึ้นเครื่องหมาย XD เท่านั้น
- ซื้อ เร็ว vs ซื้อ ช้า ตลาดมีความยุติธรรม การซื้อหุ้นใกล้ XD เพื่อหวังปันผลฟรี ไม่สามารถทำได้จริง เพราะราคาหุ้นจะปรับลงและต้องเสียภาษี
- สิ่งที่สำคัญที่สุด ให้ความสำคัญกับ DPS (เงินปันผลต่อหุ้น) และพื้นฐานของกิจการ ว่าจะสามารถสร้างกำไรและจ่ายปันผลอย่างสม่ำเสมอในอนาคตได้หรือไม่
เรียนรู้การ ลงทุนหุ้นปันผล ขั้นสูง เพื่อสร้าง Passive Income
หลังจากได้เรียนรู้พื้นฐานการลงทุนหุ้นปันผลทั้ง 5 ข้อจากบทความนี้แล้ว สำหรับนักลงทุนมือใหม่ที่สนใจลงทุนในหุ้นปันผลอย่างจริงจัง และต้องการเข้าใจหลักการอย่างลึกซึ้ง เพื่อสร้าง Passive Income ที่มั่นคง และเตรียมพร้อมสำหรับการเกษียณ อาจารย์ประพาส และ เบิร์ด จากช่อง ลงทุนกล้วย ยังมีคอร์สออนไลน์ “คอร์สหลักสูตร ปั้นพอร์ต Super Dividend หุ้นปันผลเงินล้าน” ที่อัดแน่นด้วยเนื้อหาเข้าใจง่าย ตั้งแต่การวิเคราะห์งบการเงินเบื้องต้น ไปจนถึง checklist 7 ข้อในการเลือกหุ้นปันผลคุณภาพดีเข้าพอร์ต หรือหากคุณเป็นนักลงทุนที่ต้องการความเข้าใจเชิงลึกระดับเต็มเวลา “คอร์สหุ้น 0-100 VI TURN PRO” ก็พร้อมที่จะยกระดับคุณสู่การเป็นนักลงทุนเต็มตัว ผ่านการวิเคราะห์หุ้นเชิงลึกในทุกมิติ เพื่อการลงทุนหุ้นแบบครบวงจร

