ปีทองของการหาหุ้นปันผลที่แข็งแกร่งกว่าตลาด? | EP.169

ปีทองของการหาหุ้นปันผลที่แข็งแกร่งกว่าตลาด?

บทวิเคราะห์กลยุทธ์ การลงทุน “ปีทอง” คัดเลือก “หุ้นปันผล” ที่ “แข็งแกร่งกว่าตลาด” ในภาวะ “เศรษฐกิจขาลง”

---

ทำความเข้าใจสถานการณ์ เมื่อ “วิกฤตเศรษฐกิจ” นำมาซึ่ง “ปีทอง” ของนักลงทุนคุณภาพ

ในช่วงที่ ตลาดหุ้น ผันผวนและเต็มไปด้วยสัญญาณสีแดง นักลงทุน อาจรู้สึกท้อแท้และเผชิญความท้าทายใหญ่ แต่อาจารย์ประพาสและเบิร์ด จากช่องลงทุนกล้วย ชี้ว่า ช่วงเวลานี้คือ “ปีทอง” (Golden Year) สำหรับ นักลงทุนคุณภาพ นี่คือโอกาสสำคัญในการ คัดเลือกบริษัท ที่มีความ แข็งแกร่งอย่างแท้จริง ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำได้ยากในยาม เศรษฐกิจ เฟื่องฟู

• สัญญาณเตือนจากภาพรวมเศรษฐกิจ
  • หุ้นทำ All-time low หุ้นหลายตัวมีราคาต่ำที่สุดเป็นประวัติการณ์ เช่น หุ้น After You (AU) ต่ำกว่าราคาปี 2020
  • คำเตือนจากผู้เชี่ยวชาญ มีการคาดการณ์ว่าภาวะ ตลาด ที่ยากลำบากนี้อาจดำเนินต่อไปอีกหลายปี และปีปัจจุบันอาจเป็นปีที่ดีที่สุดแล้ว
  • การคาดการณ์ของธนาคารแห่งประเทศไทย (แบงก์ชาติ) แบงก์ชาติคาดการณ์ว่า เศรษฐกิจปีหน้า อาจแย่กว่าปีนี้
  • โจทย์หลัก ของ นักลงทุน ในปีนี้คือการ มองหาหุ้นที่แข็งแกร่งกว่าตลาด เพื่อค้นหา โอกาส ที่ซ่อนอยู่ในความเสี่ยง

องค์ประกอบหลักของ “หุ้นที่แข็งแกร่งกว่าตลาด” สำหรับ “การลงทุนระยะยาว“

อาจารย์ประพาสเน้นย้ำว่า หุ้น ที่ถูกเลือกต้องสามารถ ยืนอยู่บนสภาวะ “เศรษฐกิจที่ไม่ดี” ได้ และมีราคาหุ้นที่ค่อนข้าง แข็งแกร่ง เมื่อเทียบกับ ตลาดโดยรวม กลยุทธ์สำคัญคือการคัดเลือกบริษัทที่มีคุณสมบัติ 2 ประการหลัก คือ ความแข็งแกร่ง (Resilience) และ โอกาสในการเติบโตในอนาคต (Opportunity)

1. ธุรกิจ ที่ “ทนทานต่อภาวะเศรษฐกิจซบเซา” (Resilience)

บริษัทเหล่านี้ต้องสามารถรักษายอดขายและผลกำไรได้แม้กำลังซื้อจะหดตัว เน้นที่

• สินค้าอุปโภคบริโภคจำเป็น (FMCG) สินค้าที่ผู้บริโภคยังคงต้องบริโภค
• สินค้า Value for Money สินค้าที่มีราคาคุ้มค่าคุ้มราคา
• หลีกเลี่ยง สินค้าพรีเมียม/หรูหรา กลุ่มสินค้าที่ถูกกระทบหนักที่สุด
• งบการเงินที่แข็งแกร่ง งบประมาณไตรมาสที่ประกาศออกมาต้องยังคงแข็งแกร่ง

2. โอกาสในการเติบโตในอนาคต (Opportunity) หลัง “พ้นวิกฤต“

นอกจากความอยู่รอด หุ้นที่ดี ควรมี โอกาสในการสร้างการเติบโต ต่อเนื่องในอนาคต การเลือก หุ้น ในช่วงนี้จะช่วยให้ นักลงทุน แยกแยะหุ้นที่แข็งแรงจริงออกจากหุ้นที่อ่อนแอ ได้อย่างชัดเจน

4 กรณีศึกษา “หุ้น” ที่ “ทำผลงานได้ดีกว่าตลาด” ในวิกฤต

นี่คือตัวอย่างกรณีศึกษาที่แสดงให้เห็นว่า “หุ้นที่แข็งแกร่งกว่าตลาด” มีอยู่จริงและสามารถทำกำไรได้ดีเยี่ยมแม้ในช่วงที่ ตลาดเป็นขาลง

1. TACC (TA Consumer) หุ้นปันผล “สินค้าจำเป็น” ใน 7-Eleven

TACC เป็น ธุรกิจ ที่ขายน้ำหวานในตู้กดน้ำของ 7-Eleven จัดเป็น สินค้า ที่เข้าข่าย Value for Money และขายดีแม้ เศรษฐกิจไม่ดี

• ปันผลสูง จ่าย ปันผล สูงถึงประมาณ 10% ต่อปี
• การเติบโตของรายได้และกำไร ไตรมาส 3 รายได้เติบโต 28% (YoY) และกำไรเติบโตเกือบ 50%
• ความแข็งแกร่งต่อเนื่อง งบการเงินดี ทุกไตรมาสมาตั้งแต่ต้นปี
• จุดคุ้มทุนต่ำ โมเดล ธุรกิจ แข็งแกร่งเพราะขาย สินค้า ที่คนยังต้องบริโภคอย่างต่อเนื่อง โดยมี จุดคุ้มทุนต่ำ มาก

2. ADVANC (AIS) หุ้น High Operating Leverage ได้ประโยชน์จาก “สงครามราคาจบ“

ADVANC เป็น ธุรกิจ กลุ่ม High Operating Leverage (ต้นทุนส่วนใหญ่เป็นต้นทุนคงที่) การเพิ่มขึ้นของรายได้เพียงเล็กน้อยจึงส่งผลต่อ กำไรสุทธิมหาศาล ปัจจัยขับเคลื่อนหลัก มีดังนี้

• ARPU (Average Revenue Per Unit) เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง รายได้เฉลี่ยต่อผู้ใช้บริการเพิ่มขึ้นติดต่อกันทุกไตรมาสมา 2 ปีหลังการควบรวมของคู่แข่ง
• สงครามราคาจบลง การแข่งขันที่ลดลงทำให้ ARPU เพิ่มขึ้น การเติบโต จึงง่ายขึ้นมาก
• การฟื้นตัวของรายได้ Pre-paid (เติมเงิน) รายได้เริ่มฟื้นตัวดีขึ้นตั้งแต่เดือนตุลาคมจากการฟื้นตัวของ นักท่องเที่ยว ปีหน้าฐานต่ำจะทำให้รายได้ดีขึ้นอีก
• เครื่องยนต์ใหม่ ธุรกิจเน็ตบ้าน เติบโตอย่างก้าวกระโดด ทุกไตรมาส ปัจจุบัน กำไร สูงถึง 10,000 ล้านบาทต่อปี (1 ใน 4 ของ กำไรทั้งหมด)
• กำไรจากการขายโทรศัพท์มือถือ เดิมขาดทุนหลายพันล้านบาท แต่หลังการแข่งขันลดลง ปัจจุบันเริ่มมี กำไรมหาศาล
• มุมมองการลงทุน ราคา หุ้น ADVANC ดีต่อเนื่อง และจะได้รับประโยชน์หาก อัตราดอกเบี้ยเป็นขาลง เนื่องจากมีภาระหนี้สูง

3. PR9 (โรงพยาบาลพระรามเก้า) กลยุทธ์ “เน้นลูกค้าต่างชาติ” ดัน “กำไรสูง“

ในช่วงที่หลาย โรงพยาบาล ที่เน้นลูกค้าคนไทยมีผลประกอบการไม่ค่อยดี PR9 กลับมีผลประกอบการที่ แข็งแกร่ง มากเนื่องจาก

• เน้นลูกค้าต่างชาติ เร่งเพิ่มสัดส่วน คนไข้ต่างชาติ จาก 20% เป็น 28% ในไตรมาส 3
• อัตรากำไรสูง คนไข้ต่างชาติ มีมูลค่าบิลลิ่งต่อหัวสูงกว่าคนไทย 2-3 เท่า และมี อัตรากำไรขั้นต้น (Margin) ที่ดีกว่ามาก
• ชดเชยลูกค้าคนไทย การเพิ่มขึ้นของ คนไข้ต่างชาติ ที่มีบิลลิ่งสูงสามารถชดเชยการลดลงของคนไข้คนไทยได้ทั้งหมด
• ความเสี่ยงในอุตสาหกรรมโรงพยาบาลที่รับภาครัฐ กลุ่ม โรงพยาบาล ที่รับลูกค้าภาครัฐมีความเสี่ยงที่จะถูกกดดันในอนาคต เนื่องจาก เงินสนับสนุนลดลง และการควบคุมโรคซับซ้อนที่เข้มงวดขึ้น

4. CPALL (7-Eleven) กำไรสุทธิทำ All-time high และ “ประโยชน์จากดอกเบี้ยขาลง“

แม้ว่า CP Extra (Lotus’s/Makro) จะมีงบไม่ดี ทำให้ราคา หุ้น ร่วงตามไปด้วย แต่ CPALL กลับทำผลงานได้ดีมาก และ กำไรสุทธิทำ All-time high

• สินค้าจำเป็นและ Value for Money ธุรกิจ 7-Eleven ขาย สินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็น (FMCG) และอาหารมื้อหลักราคาไม่แพง ซึ่ง แข็งแกร่ง มากในภาวะ เศรษฐกิจไม่ดี
• ขยายสาขาต่อเนื่อง มีแผน ขยายสาขา ปีละ 700 แห่ง (อัตราเพิ่มขึ้น ประมาณ 4.5% ต่อปี)
• Same Store Sales (SSS) แข็งแกร่ง SSS ของ 7-Eleven ติดลบเพียง 0.5% ในไตรมาส 3 ซึ่งถือว่า แข็งแรงมาก เมื่อเทียบกับ ตลาด
• การลดภาระหนี้สิน หากบริษัทสามารถจ่ายคืนเงินต้นหนี้ทั้งหมดได้ ดอกเบี้ยจ่าย จะหายไป ซึ่งมี โอกาสที่กำไรจะเพิ่มขึ้นถึง 1 เท่าตัว ใน 7-10 ปีข้างหน้า นอกจากนี้ยังได้รับประโยชน์หากทิศทาง ดอกเบี้ยเป็นขาลง
• นักท่องเที่ยว การฟื้นตัวของนักท่องเที่ยว จะส่งผลดีต่อยอดขายของ 7-Eleven

สรุปและ “แนวคิดการลงทุนในระยะยาว” เพื่อ “เอาตัวรอดในตลาดขาลง“

อาจารย์ประพาสสรุปว่า แม้ ตลาด จะดูไม่ดี แต่หาก นักลงทุน สามารถหาบริษัทที่ตอบโจทย์ 2 ข้อ คือ

• สามารถ ยืนหยัดในสภาวะเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ได้ (Resilience)
• มี โอกาสที่จะเติบโตต่อไปในอนาคต (Opportunity)

ก็จะสามารถประสบความสำเร็จได้ในการ ลงทุน เหมือนที่เคยเกิดขึ้นในช่วง วิกฤตปี 2008 การที่ หุ้นเหล่านี้ ทำผลงานได้ ดีกว่าตลาด เป็นข้อพิสูจน์ว่า กลยุทธ์การคัดเลือกหุ้นที่แข็งแกร่ง และมี คุณภาพ ในยาม วิกฤต นั้นได้ผล

ดังนั้น สำหรับ นักลงทุน ที่ต้องการ เอาตัวรอด และ สร้างผลตอบแทน ในภาวะ ตลาดขาลง ช่วงเวลานี้คือ โอกาสที่ดีที่สุด ในการ คัดกรองหุ้นคุณภาพ เพื่อ “ขี่” บริษัทที่แข็งแกร่ง ฝ่าฟันอุปสรรคไป

คำเตือน การกล่าวถึงชื่อ หุ้น ในบทความนี้ เป็นการยกขึ้นมาเป็นเพียง กรณีศึกษา (Case Study) เท่านั้น ไม่ได้เป็นการ แนะนำการลงทุน หรือพูดถึงเรื่องราคา หุ้น จุดเข้าซื้อ หรือจุดขายแต่อย่างใด การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูล ก่อน ตัดสินใจลงทุน