ความรู้การลงทุนในหุ้นฟรีคอร์สอบรมเรียนฟรี ลงทุนหุ้น VI

มือใหม่ระวังพลาด? หุ้น JAS ปันผล 29% น่าลงทุนไหม? | EP.168

มือใหม่ ระวังพลาด? หุ้น JAS ปันผล 29% น่าลงทุน ไหม?

กรณีศึกษาของหุ้น JAS (Jasmine International Public Company Limited) ได้สร้างความฮือฮาในหมู่นักลงทุน ด้วยการประกาศจ่ายปันผลในอัตราสูงถึง 29% จนถูกจัดอยู่ในอันดับต้นๆ ของหุ้นปันผลยอดนิยมประจำปี หุ้นปันผล 2567 อย่างไรก็ตาม การลงทุนที่หวังผลตอบแทนสูงเช่นนี้ จำเป็นต้องอาศัยความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง เพื่อไม่ให้ติดกับดักที่ซ่อนอยู่

เพื่อให้นักลงทุนเข้าใจถึงความเสี่ยงและโอกาสอย่างแท้จริง การวิเคราะห์หุ้น JAS ในครั้งนี้ จะเป็นการถอดบทเรียนอย่างละเอียดตามหลักการที่เน้นย้ำในช่อง “ลงทุนกล้วยๆ” ซึ่งเป็นแนวทางจากผู้เชี่ยวชาญอย่าง อาจารย์ประพาส

1. กับดักปันผล 29% ของ หุ้น JAS

เมื่อค้นหาข้อมูลหุ้นปันผลยอดนิยม ผู้ลงทุนอาจพบว่าหุ้น JAS ถูกจั่วหัวว่าเป็นหุ้นที่จ่ายปันผลสูงสุดในรอบปี 2567 โดยมีอัตราการจ่ายปันผลสูงถึง 29% ตัวเลขนี้ดึงดูดใจผู้ลงทุนมือใหม่อย่างยิ่ง เนื่องจากบางคนอาจคิดคำนวณแบบง่ายๆ ว่า หากซื้อหุ้นนี้ การได้รับปันผล 29% ต่อปี หมายความว่าเพียงแค่ 3 ปี ก็จะได้เงินคืนเกือบ 90% ของเงินลงทุนแล้ว

แต่การเลือกหุ้นปันผลที่ดี ไม่ควรพิจารณาจากอัตราปันผลที่สูงเพียงอย่างเดียว เพราะอัตราผลตอบแทนปันผล (Dividend Yield) คำนวณมาจากเงินปันผลต่อหุ้นหารด้วยราคาหุ้น แม้ว่าอัตรา 29% จะดูน่าดึงดูดสายตา จึงจำเป็นต้องตรวจสอบ “ต้นตอ” ที่มาของเงินปันผลนั้นอย่างละเอียด

ข้อควรระวังสำหรับมือใหม่ ข้อมูลที่ปรากฏตามเว็บไซต์อาจจัดเรียงให้หุ้น JAS ที่มีอัตราปันผลสูงไปอยู่ใกล้กับหัวข้อ “หุ้นปันผลดีระยะยาว” ซึ่งอาจทำให้ผู้ที่ไม่ได้พิจารณาอย่างถี่ถ้วนเข้าใจผิดว่า JAS เป็นตัวอย่างของหุ้นที่เข้าคุณสมบัติการจ่ายปันผลที่ดีและเหมาะกับการลงทุนระยะยาว นักลงทุนต้องตระหนักว่า ราคาหุ้นถูกขับเคลื่อนโดย ‘เงินฉลาด‘ (Smart Money) ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีความรู้ในการลงทุนสูงมาก หากหุ้นใดจ่ายปันผลสูงมากและเปิดโอกาสให้รายย่อยเข้าลงทุนง่ายๆ นั่นอาจหมายความว่าเงินฉลาดเหล่านั้นได้ยอมปล่อยโอกาสนั้นออกไปแล้ว เนื่องจากปันผลที่สูงอาจแลกมาด้วยความเสี่ยงบางอย่างที่สูงตามไปด้วย

2. วิเคราะห์ความสม่ำเสมอของปันผล JAS

นักลงทุนที่ต้องการผลตอบแทนแบบ Passive Income อย่างแท้จริง ควรเลือกหุ้นที่เน้น “ความสม่ำเสมอสูง” ในการจ่ายปันผล มากกว่าการเน้น “อัตราปันผลที่สูง” เพียงอย่างเดียว

ขั้นตอนที่ 1 ตรวจสอบความถี่ในการจ่าย (จากเมนูสิทธิประโยชน์และ XD)

จากการตรวจสอบประวัติการจ่ายปันผลของ JAS ย้อนหลังพบข้อสังเกตดังนี้

ความไม่สม่ำเสมอของความถี่ บริษัทมีการจ่ายปันผลล่าสุดคือวันที่ 26 ธันวาคม 2566 ก่อนหน้านั้นคือปี 2563 ซึ่งมีการจ่าย 3 ครั้ง แสดงให้เห็นว่า JAS ไม่ได้จ่ายปันผลอย่างสม่ำเสมอทุกปี โดยมีช่วงที่หายไปในปี 2564 และ 2565 และกลับมาจ่ายอีกครั้งในปี 2566 หากบริษัทที่จ่ายปันผลสม่ำเสมอ ตัวเลขการจ่ายควรจะต่อเนื่องและเกิดขึ้นทุกปี

ความไม่สม่ำเสมอของจำนวนเงิน ในปี 2563 มีการจ่ายรวมกันประมาณ 1.73 บาท (จากสามครั้ง) แต่กระโดดมาในปี 2566 จ่ายที่ 60 สตางค์ ตัวเลขในเชิงบาทจึงมีความไม่สม่ำเสมอเช่นกัน

เมื่อเปรียบเทียบกับหุ้นที่จ่ายปันผลสม่ำเสมอ (เช่น ADVANC) จะพบว่าหุ้นที่ดีจะมีความถี่ที่ต่อเนื่องทุกปี (เช่น ปีละ 2 ครั้ง) และที่สำคัญกว่าคือ เงินปันผลต่อหุ้นควรมีแนวโน้ม “เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง” ยกตัวอย่างเช่น หุ้นอย่าง ADVANC ที่แม้จะมีอัตราปันผลเริ่มต้นเพียง 3-4% แต่ปันผลต่อหุ้นมีการเติบโตเพิ่มขึ้นต่อเนื่องทุกปี รวมแล้วเพิ่มขึ้นถึง 100% ในช่วง 5 ปี ซึ่งตอบโจทย์การชดเชยเงินเฟ้อได้ ในทางกลับกัน การจ่ายปันผลที่สม่ำเสมอแต่ไม่เติบโตเลย เช่น หากบริษัทหนึ่งจ่ายเงินปันผล 60 สตางค์เท่าเดิมมา 10 ปี แม้จะดูมั่นคง แต่เงินปันผลที่ได้มานั้นจะไม่สามารถชดเชยอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้น (เช่น เงินเฟ้อ 30% ใน 10 ปี) ได้ ทำให้กำลังซื้อที่แท้จริงของผู้ลงทุนลดลง เพื่อชดเชยเงินเฟ้อและสร้างผลตอบแทนที่แท้จริง กรณีของ JAS แสดงลักษณะการจ่ายที่เหมือน “ฟันหนู” คือมีบ้างไม่มีบ้าง

3. JAS ปันผลพิเศษ และ กำไรจากการขาย 3BB

เพื่อตอบคำถามว่าทำไม JAS จึงสามารถจ่ายปันผลที่อัตรา 29% หรือ 60 สตางค์ต่อหุ้นได้ในปี 2566 สิ่งที่ต้องวิเคราะห์คือที่มาของเงินปันผล โดยหลักการแล้ว เงินปันผลจะถูกจ่ายออกมาจาก 2 แหล่งหลักเท่านั้น คือ 1) กำไรสุทธิ ที่เกิดขึ้นในงวดนั้น ๆ หรือ 2) กำไรสะสม ซึ่งคือ กำไรสุทธิที่สะสมมาในอดีต

ทั้งนี้ ข้อสำคัญคือ บริษัทจะไม่สามารถจ่ายปันผลได้เด็ดขาด หากมีกำไรสะสมติดลบหรือขาดทุนสะสม

ขั้นตอนที่ 2 ตรวจสอบรายงาน MD&A (คำอธิบายและวิเคราะห์ของฝ่ายจัดการ)

การวิเคราะห์ขั้นสูงแบบที่ผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุน VI (Value Investing) ทำ คือการเจาะลึกไปที่รายงาน MD&A ประจำปี 2566 เพื่อค้นหาว่าอะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดการจ่ายปันผลนี้

ผลการตรวจสอบ MD&A ปี 2566 เผยให้เห็นว่า บริษัทมี “กำไรจากรายการพิเศษ” เกิดขึ้นผิดปกติ นั่นคือ กำไรพิเศษ จากการจำหน่ายเงินลงทุนในบริษัทร่วมและบริษัทย่อย ซึ่งมีมูลค่าสูงถึง 26,000 กว่าล้านบาท

สาเหตุของกำไรพิเศษ กำไรพิเศษก้อนใหญ่ดังกล่าวมาจากการที่ JAS ได้ขาย 3BB ออกไป โดยเป็นการขายหุ้นสามัญของบริษัท ทริปเปิล ที บรอดแบนด์ จำกัด (หุ้น 3BB) ซึ่งเป็นธุรกิจอินเทอร์เน็ตบ้าน รวมถึงหน่วยลงทุน JASIF ให้กับ AWN (บริษัทย่อยของ ADVANC)

สรุปผลการวิเคราะห์ที่มาของกำไร การขายธุรกิจหลักอย่าง หุ้น 3BB ออกไป ทำให้เกิดกำไรครั้งเดียวจำนวนมหาศาล กำไรจากการขายสินทรัพย์ครั้งนี้จึงถือเป็น “กำไรพิเศษ” ไม่ใช่กำไรที่ยั่งยืนหรือ “ถาวร”

ดังนั้น อัตราปันผลที่สูงถึง 29% ในปี 2566 จึงเป็น ปันผลแบบ One-Time หรือ JAS ปันผลพิเศษ ซึ่งแปลว่าบริษัท ไม่สามารถจ่ายปันผลในอัตราที่สูงเช่นนี้ได้ซ้ำอีกในอนาคต

4. อนาคตหุ้น JAS หลังขาย 3BB

แม้ว่ากำไรพิเศษจากปันผลจะมาจากการขายสินทรัพย์ แต่ยังคงต้องวิเคราะห์ความสามารถของ JAS ในการจ่ายปันผลจากธุรกิจที่เหลืออยู่ต่อไป

ขั้นตอนที่ 3 ตรวจสอบงบดุล (Balance Sheet) และกำไรสะสม

บริษัทจะจ่ายปันผลได้ก็ต่อเมื่อมีกำไรสะสมเป็นบวกเท่านั้น ในงบดุลของ JAS ณ ช่วงเวลาที่มีการวิเคราะห์ (ล่าสุด) พบว่า

  • กำไรสะสมที่ยังไม่จัดสรร มีมูลค่า 588 ล้านบาท

ตัวเลข 588 ล้านบาทที่ยังเป็นบวกนี้เป็น สัญญาณที่ดี ที่แสดงว่าบริษัท มีความสามารถ ในการจ่ายปันผลได้ในอนาคต อย่างไรก็ตาม ตัวเลขดังกล่าวยังถือว่าไม่สูงนัก

ขั้นตอนที่ 4 ตรวจสอบผลประกอบการปัจจุบัน (Performance)

จากการตรวจสอบงบกำไรขาดทุนล่าสุด (Q2) พบว่าบริษัทมีกำไรสุทธิ 82 ล้านบาท ซึ่งแสดงว่า JAS เริ่มกลับมาทำกำไรได้แล้ว

สาเหตุที่บริษัทสามารถกลับมาทำกำไรได้นั้นเป็นเพราะ ในอดีต ธุรกิจ หุ้น 3BB (Broadband) เป็นแหล่งที่ทำให้บริษัทขาดทุนหนัก หลักพันล้านบาทต่อปี การขาย หุ้น 3BB ออกไปจึงเปรียบเสมือนการ “ขายเครื่องยนต์ที่ทำให้ขาดทุน” ซึ่งอาจทำให้ธุรกิจที่เหลืออยู่สามารถทำกำไรได้ต่อเนื่องและสม่ำเสมอมากขึ้นในอนาคต

ข้อควรระวังเกี่ยวกับความสม่ำเสมอของกำไร ถึงแม้ Q2 จะมีกำไร 82 ล้านบาท แต่เมื่อพิจารณางบครึ่งปี (6 เดือน) พบว่าบริษัทมีกำไรรวมเพียง 23 ล้านบาท นั่นแปลว่าใน Q1 บริษัทอาจจะยังขาดทุนอยู่ประมาณ 60 ล้านบาท ดังนั้น แม้จะขายธุรกิจหลักที่ขาดทุนไปแล้ว กำไรของธุรกิจที่เหลืออยู่ก็ยังขาดความสม่ำเสมอ ความไม่สม่ำเสมอของกำไรนี้อาจเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่บริษัทอาจจะยังไม่พร้อมที่จะจ่ายปันผลอย่างสม่ำเสมอ

หากต้องการประเมินความยั่งยืนของกำไรในระยะยาว ผู้ลงทุนจะต้องไป “แกะไส้ใน” เพื่อตรวจสอบว่าธุรกิจอื่นๆ ที่ไม่ใช่ หุ้น 3BB นั้น (ซึ่ง เบิร์ด จากช่องลงทุนกล้วยๆ ได้ตั้งคำถามถึงรายละเอียด) ทำธุรกิจอะไรบ้าง มีความสม่ำเสมอของรายได้และกำไรสูงหรือไม่

5. บทเรียนจากหุ้น JAS และหลักคิด การลงทุนหุ้นปันผล (มุมมอง VI)

กรณีศึกษาของ JAS เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของ “หุ้นปันผลสูง” ซึ่งเป็นกับดักปันผลอย่างหนึ่ง อัตราปันผลที่สูงโดดเด่นมักจะแลกมาด้วยความเสี่ยงบางอย่างที่สูงตามไปด้วย

ดังนั้น การเลือกหุ้นปันผล ไม่ใช่การมองหาอัตราปันผลที่สูงที่สุด แต่คือการเลือกหุ้นที่เน้นความ ‘สม่ำเสมอสูง‘ มากกว่า ‘ปันผลสูง‘ และปันผลต้องเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง เพื่อให้ตอบโจทย์การนำเงินปันผลไปใช้ในชีวิตประจำวัน (Passive Income) อย่างแท้จริง

ต้องมีความรู้ใน การเลือกหุ้น การที่หุ้นบางตัวมีปันผลสูงมาก (เช่น 8-10%) และเปิดโอกาสให้รายย่อยเข้าลงทุนได้ง่ายๆ นั่นหมายความว่า “เงินฉลาด” (Smart Money) ซึ่งเป็นผู้ที่มีความรู้การลงทุนสูงมาก ได้ยอมปล่อยโอกาสนี้ออกไป นั่นเป็นเพราะหุ้นเหล่านั้นมีความเสี่ยงแฝงอยู่

ความสม่ำเสมอสำคัญกว่าเปอร์เซ็นต์ หากวัตถุประสงค์คือการนำเงินปันผลไปใช้ในชีวิตประจำวัน (Passive Income) ผู้ลงทุนควรเลือกหุ้นที่เน้นความสม่ำเสมอสูง และควรเน้นที่ปันผลต่อหุ้นมีแนวโน้ม เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพื่อชดเชยอัตราเงินเฟ้อ หุ้นที่จ่ายปันผลไม่สม่ำเสมอ ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการความมั่นคงทางกระแสเงินสด

สรุปกรณี หุ้น JAS และ คำแนะนำสำหรับ นักลงทุน

โดยสรุป หุ้น JAS ที่ปรากฏอัตราปันผลสูง 29% ในปี 2566 นั้น ส่วนใหญ่มาจาก กำไรพิเศษ ที่เกิดจากการขายธุรกิจหลัก (หุ้น 3BB) ออกไป ซึ่งเป็นเหตุการณ์ชั่วคราว ไม่ใช่กำไรที่เกิดจากการดำเนินงานปกติ แม้ว่าการขายธุรกิจที่ขาดทุนออกไปอาจเป็นผลดีต่ออนาคตหุ้น JAS ที่เหลืออยู่ แต่ความสามารถในการทำกำไรและจ่ายปันผลอย่างสม่ำเสมอในปัจจุบันก็ยังไม่ชัดเจนนัก ผู้ลงทุนจึงควรระมัดระวังและไม่ติดกับดักของตัวเลขปันผลสูงนี้

คำแนะนำเพิ่มเติม ผู้ที่ต้องการลงทุนหุ้นปันผลควรศึกษาข้อมูลอย่างถี่ถ้วน โดยไม่มองข้ามประวัติการจ่ายปันผลและความสม่ำเสมอ (ดังตัวอย่างที่ เบิร์ด จากช่องลงทุนกล้วยๆ นำเสนอ) การวิเคราะห์ต้องทำความเข้าใจแหล่งที่มาของกำไร ไม่ว่าจะเป็นการใช้เครื่องมือประเมินมูลค่าอย่าง PE Ratio (ที่ต้องระมัดระวังการตีความ) หรือการเจาะลึกงบการเงินตามคำแนะนำของนักลงทุนที่มีประสบการณ์ เช่น อาจารย์ประพาส หากการวิเคราะห์มีความซับซ้อนและมีข้อมูลผันผวน ผู้ลงทุนอาจพิจารณาหาหุ้นที่ “เข้าใจง่ายกว่านี้” หรือหากไม่มีเวลาติดตามการลงทุนมากพอ ก็ควรพิจารณาการลงทุนแบบ Passive ในกองทุนดัชนีแทน

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Protected by CleanTalk Anti-Spam