Hot Topic! ภาษีทรัมป์ + ผู้ว่าแบงค์ชาติใหม่ = เศรษฐกิจไทยขาขึ้น? | Hot Topic EP.21
ภาษีทรัมป์ + ผู้ว่าแบงค์ชาติใหม่ = เศรษฐกิจไทยขาขึ้น?
เศรษฐกิจไทยในช่วง 1-2 ปีข้างหน้ามีแนวโน้มที่จะเป็น “ขาขึ้น” โดยปัจจัยหลักมาจากการประกาศนโยบายการค้าของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และการแต่งตั้งผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยคนใหม่ ซึ่งเป็นความเห็นจาก อาจารย์ประพาส และ เบิร์ด ลงทุนกล้วยๆ ที่มั่นใจว่าสองปัจจัยนี้จะส่งผลบวกอย่างมาก บทความนี้จะเจาะลึกถึงที่มาที่ไปและเหตุผลเบื้องหลังแนวคิดนี้
วิเคราะห์ ‘ภาษีทรัมป์‘ กระทบหุ้นส่งออก และการค้าไทย-สหรัฐฯ อย่างไร?
ล่าสุด ประธานาธิบดีทรัมป์ได้ประกาศภาษีนำเข้า (Tariff) สำหรับประเทศไทยที่ 19% ซึ่งเป็นอัตราที่ใกล้เคียงกับประเทศในภูมิภาคอย่างกัมพูชาและมาเลเซียที่ 19% เช่นกัน นักลงทุนไทยส่วนใหญ่คาดการณ์ไว้แล้วว่าภาษีจะไม่เกิน 20% ขณะที่ทีมเจรจาฝั่งอเมริกาเองก็คาดหวังให้อยู่ในกรอบ 10-20% การที่ตัวเลขออกมาที่ 19% ถือว่าค่อนข้างใกล้เคียงกับที่คาดการณ์ไว้
ตลาดหุ้นไทย ตอบรับ ‘ความชัดเจน’ ดันหุ้นนิคมอุตสาหกรรมพุ่ง
ทันทีที่มีการประกาศ ตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นทันที โดยเฉพาะกลุ่มหุ้นส่งออกและหุ้นนิคมอุตสาหกรรม
- กลุ่มหุ้นส่งออก: ปรับขึ้นไม่มากนัก (สูงสุดประมาณ 2%) เนื่องจากนักลงทุนทราบอยู่แล้วว่าภาษีจะไม่สูงถึง 36% ตามที่เคยมีข่าวลือ
- กลุ่มหุ้นนิคมอุตสาหกรรม: กลับปรับขึ้นอย่างโดดเด่นถึง 7-8% การปรับขึ้นนี้ไม่ได้มาจากตัวเลขภาษีโดยตรง แต่มาจาก “ความชัดเจน” ของตัวเลข ก่อนหน้านี้การขาดความชัดเจนของตัวเลขภาษีทำให้บริษัทที่ต้องการมาตั้งโรงงานในไทยยังคงลังเล แต่เมื่อตัวเลขประกาศออกมาและอยู่ในระดับที่ยอมรับได้ (ต่ำกว่าเวียดนามเล็กน้อย) ทำให้ไทยมีโอกาสดึงดูดการลงทุนจากบริษัทที่กำลังตัดสินใจระหว่างไทยกับเวียดนามได้มากขึ้น กลุ่มหุ้นนิคมอุตสาหกรรมจึงได้รับประโยชน์มากกว่ากลุ่มหุ้นส่งออกเสียอีก
เจาะลึก ‘เกมการเมือง‘ และแนวโน้มการเจรจาภาษีรอบใหม่
อาจารย์ประพาส และ เบิร์ด ลงทุนกล้วยๆ มองว่า การประกาศภาษีนี้อาจเป็น “เกมการเมือง” ซะมากกว่า ทรัมป์ต้องการให้เศรษฐกิจอเมริกาดีขึ้น เพื่อเพิ่มคะแนนเสียง แม้การเพิ่มภาษีนำเข้าอาจส่งผลเสียต่อสหรัฐฯ เองในบางมุม เช่น ต้นทุนสินค้าสูงขึ้นและเงินเฟ้อเพิ่มขึ้น แต่ก็ต้องชั่งน้ำหนักกับสิ่งที่ทรัมป์เรียกร้องจากประเทศคู่ค้า เช่น การที่ประเทศเหล่านั้นต้องซื้อสินค้าจากสหรัฐฯ มากขึ้น ซึ่งอาจหมายถึงสินค้าประเภทอิเล็กทรอนิกส์ อุตสาหกรรมหนัก หรือแม้กระทั่งเครื่องบินและไอที หากบริษัทในสหรัฐฯ มียอดขายดีขึ้น เศรษฐกิจก็จะดีขึ้น มีการจ้างงานเพิ่มขึ้น และรายได้ของประชาชนก็จะเพิ่มขึ้นตามไปด้วย ซึ่งจะส่งผลดีต่อยอดขายสินค้าอุปโภคบริโภคภายในประเทศด้วยเช่นกัน
ผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่าตัวเลข 19% นี้เป็นเพียง “ฉากแรก” ของการเจรจา และอาจมีการต่อรองรอบที่สองที่อาจทำให้ภาษีลดลงเหลือเพียง 10% เหตุผลคือ หากภาษีลดลงอีกครั้ง จะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ โดยตรง เพราะเงินเฟ้อจะไม่สูงขึ้นมากนัก และหากยอดขายสินค้าเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล ขณะที่ค่าครองชีพไม่แพงขึ้น ก็จะเป็นผลดีต่อทรัมป์และโอกาสในการได้คะแนนเสียงเพิ่มขึ้น นี่คือ “เกมยาว” ที่การเจรจาการค้าอาจยืดเยื้อต่อไปอีก 1-2 ปี ซึ่งจะไปออกผลในช่วง 2 ปีหลังของวาระการดำรงตำแหน่ง 4 ปีของทรัมป์ เพื่อให้เศรษฐกิจดีขึ้นเต็มที่ในช่วงก่อนการเลือกตั้งครั้งถัดไป
‘วิทัย รัตนากร‘ ผู้ว่าแบงก์ชาติคนใหม่ กับนโยบายการเงิน ที่จะพลิกเศรษฐกิจไทย
ล่าสุด การคัดเลือกผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยคนใหม่ได้ข้อสรุปแล้ว คือ คุณวิทัย รัตนากร อดีตผู้อำนวยการธนาคารออมสิน ซึ่งเป็นธนาคารรัฐที่ดูแลประชาชนรากหญ้า ทำให้ท่านมีความเข้าใจและเข้าถึงกลุ่มประชาชนฐานราก นอกจากนี้ ท่านยังมีตำแหน่งสำคัญอื่นๆ ในอุตสาหกรรมการเงินและเศรษฐศาสตร์มากมาย เช่น เลขาธิการคณะกรรมการกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ, CFO นกแอร์, ประธานกรรมการสมาคมสถาบันการเงินของรัฐ และประธานกรรมการบริหารทิพยประกันภัย
เปิด 3 นโยบายสำคัญ ‘ลดดอกเบี้ย‘ กระตุ้นการลงทุนครั้งใหญ่
คุณวิทัยมีนโยบายที่โดดเด่น 3 ข้อ
- ลดดอกเบี้ย “ลึกและยาวนานพอ” แม้จะไม่ได้ระบุตัวเลขที่แน่นอน แต่คำว่า “ลึก” อาจหมายถึงการลดดอกเบี้ยนโยบายไปสู่ระดับต่ำสุดที่ 0.5% เหมือนช่วงวิกฤตโควิด ซึ่งจะกระตุ้นการบริโภคและการลงทุน
- ทำงานร่วมกับกระทรวงการคลัง (รัฐบาล): นโยบายนี้แสดงให้เห็นถึงความต้องการทำงานร่วมกับรัฐบาลอย่างใกล้ชิด ซึ่งต่างจากผู้ว่าฯ คนก่อนที่เน้นความเป็นกลางสูง การทำงานที่เป็นเนื้อเดียวกันระหว่างธนาคารชาติและรัฐบาลจะทำให้การผลักดันนโยบายเศรษฐกิจเป็นไปในทิศทางเดียวกันและมีประสิทธิภาพมากขึ้น เพื่อให้เศรษฐกิจดีขึ้น
- ดูแลรักษาเสถียรภาพทางการเงินและสื่อสารกับภาคธุรกิจ: นโยบายนี้มุ่งเน้นการรักษาสมดุลและความมั่นคงทางการเงิน ควบคู่ไปกับการสื่อสารอย่างใกล้ชิดกับภาคส่วนต่างๆ ในธุรกิจ
บทสรุป แนวโน้มเศรษฐกิจไทย 2568-2569 และเป้าหมายดัชนี SET
เมื่อพิจารณาทั้งนโยบายภาษีทรัมป์และการดำเนินนโยบายของผู้ว่าฯ แบงก์ชาติคนใหม่ จะเห็นภาพที่น่าสนใจสำหรับเศรษฐกิจไทยในอีก 1-2 ปีข้างหน้า
- ภาคหุ้นส่งออกได้รับประโยชน์: หากภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ลดลงจาก 19% เหลือ 10% ตามการคาดการณ์ ต้นทุนของภาคส่งออกไทยจะลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ส่งผลให้กำไรของกลุ่มหุ้นส่งออกดีขึ้น ซึ่งการส่งออกถือเป็นเครื่องยนต์สำคัญของเศรษฐกิจไทย
- กระตุ้นการบริโภคและการลงทุนภายในประเทศ: การลดดอกเบี้ย ของไทยจะทำให้ต้นทุนการกู้ยืมลดลงอย่างมาก ยกตัวอย่างเช่น ค่าผ่อนบ้าน 10 ล้านบาท อาจลดลงจาก 50,000 บาทต่อเดือน เหลือเพียง 25,000 บาทต่อเดือน ซึ่งจะทำให้สินค้าราคาสูง เช่น บ้านและรถยนต์ ขายดีขึ้น การกระตุ้นนี้จะนำไปสู่การเพิ่มขึ้นของหนี้ครัวเรือนและเงินเฟ้อ ซึ่งเป็นผลลัพธ์ปกติของการเติบโตทางเศรษฐกิจที่รัฐบาลสามารถควบคุมได้บางส่วน
- ตลาดหุ้นไทยสดใส: ผู้ว่าฯ แบงก์ชาติคนใหม่จะเริ่มมีผลในวันที่ 1 ตุลาคมนี้ และคาดว่านโยบายลดดอกเบี้ยจะใช้เวลาประมาณ 1 ปีในการเห็นผลชัดเจน ดังนั้น ปีหน้าเศรษฐกิจอาจดีขึ้นเล็กน้อย แต่ในช่วง 2 ปีข้างหน้า เศรษฐกิจไทยจะดีขึ้นอย่างมาก รวมถึงตลาดหุ้นด้วย หากดอกเบี้ยนโยบายลดลงมาที่ 0.5% ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลจะลดลงตามไปด้วย ทำให้เงินลงทุนมหาศาลที่อยู่ในพันธบัตรไหลเข้าสู่ตลาดหุ้นไทย โดย อาจารย์ประพาส เบิร์ด ลงทุนกล้วยๆ คาดการณ์ว่า ดัชนี SET มีโอกาสแตะ 1,700-1,800 จุดได้ในอีก 2 ปีข้างหน้า
- เกมการเมืองหนุนเศรษฐกิจ: การที่ธนาคารชาติและรัฐบาลทำงานเป็นเนื้อเดียวกัน จะทำให้การอัดฉีดเงินและนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจมีประสิทธิภาพมากขึ้น รัฐบาลจะเริ่มอัดฉีดเงินตั้งแต่ปีหน้า และผลลัพธ์จะไปพีคในช่วง 2 ปีข้างหน้า ซึ่งเป็นช่วงท้ายของวาระการบริหาร การที่เศรษฐกิจดีในช่วงดังกล่าวจะเพิ่มโอกาสให้รัฐบาลได้กลับมาดำรงตำแหน่งอีกครั้ง อย่างไรก็ตาม นี่อาจเป็นวัฏจักรที่เมื่อเศรษฐกิจดี หนี้ครัวเรือนและเงินเฟ้อสูงขึ้น รัฐบาลสมัยถัดไปอาจต้องกลับมาขึ้นดอกเบี้ยอีกครั้งเพื่อควบคุมสถานการณ์
ข้อควรระวังและปัจจัยเสี่ยงในการลงทุน
การวิเคราะห์ข้างต้นเป็นการคาดการณ์ภายใต้ปัจจัยที่กล่าวมาเท่านั้น ยังไม่รวมผลกระทบจากปัจจัยภายนอกที่ควบคุมไม่ได้ เช่น สถานการณ์สงคราม ความไม่สงบ หรือภัยธรรมชาติ ซึ่งอาจส่งผลกระทบรุนแรงต่อเศรษฐกิจได้ อย่างไรก็ตาม หากไม่เกิดวิกฤตการณ์ร้ายแรงจากปัจจัยภายนอกดังกล่าว เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มที่ดีขึ้นอย่างชัดเจนในช่วง 1-2 ปีจากนี้

