Hot Topic! ตามหาหุ้นเขียว ท่ามกลางวิกฤตการเมือง! | Hot Topic EP.17
ตามหาหุ้นเขียว ท่ามกลางวิกฤตการเมือง!
ท่ามกลางสถานการณ์ที่ท้าทายในปัจจุบัน ตลาดหุ้นไทยได้รับผลกระทบโดยตรงจากการเปลี่ยนแปลงและความไม่มั่นคงทางการเมืองภายในประเทศ รวมถึงปัญหาที่เกิดจากสงครามในต่างประเทศ ความกังวลเหล่านี้ได้ทำให้ตลาดหุ้นปรับตัวลดลงมาอย่างต่อเนื่องตลอดหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา
บทความนี้จะพาไปเจาะลึกถึงหลักการค้นหา “หุ้นเขียว” หรือหุ้นที่สามารถยืนหยัดอยู่ได้ แม้ในวันที่ตลาดโดยรวมเผชิญมรสุมครั้งใหญ่
ทำไมวิกฤตการเมืองจึงส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นโดยตรง?
โดยทั่วไป ตลาดหุ้นมักจะเคลื่อนไหวในทิศทางตรงกันข้ามกับสถานการณ์ทางการเมืองที่ไร้เสถียรภาพ เหตุผลหลักคือ รัฐบาลมีหน้าที่สำคัญในการกำหนดนโยบายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะเป็นการผ่านโครงการเมกะโปรเจกต์ การกระจายเงิน หรือการกระตุ้นเศรษฐกิจในรูปแบบอื่น
หากรัฐบาลต้องอยู่ในภาวะชะงักงัน หรือเกิด “อุบัติเหตุทางการเมือง” เช่น การเรียกร้องให้นายกฯ ลาออก หรือการยุบสภา การขับเคลื่อนนโยบายเหล่านี้ก็จะหยุดชะงักทันที เมื่อนโยบายไม่สามารถเดินหน้าได้ ธุรกิจต่างๆ ก็จะได้รับผลกระทบโดยตรง ซึ่งเป็นที่มาว่าทำไมหุ้นหลายตัวจึงปรับตัวลดลงค่อนข้างมากในช่วงที่ผ่านมา
การค้นพบที่น่าสนใจ หุ้นที่ยืนหยัดได้ท่ามกลางความไม่แน่นอน
อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางภาวะตลาดที่เต็มไปด้วยความผันผวนนี้ มีการค้นพบที่น่าสนใจอย่างยิ่งในพอร์ตการลงทุนของ อาจารย์ประพาส เบิร์ด ลงทุนกล้วยๆ ซึ่งแม้ว่าหุ้นหลายตัวจะได้รับผลกระทบ แต่กลับมีหุ้นบางตัวที่ยังคงยืนหยัดอยู่ได้
จากการสังเกตการณ์ในช่วงที่ผ่านมา แม้จะมีทั้งข่าวสงครามและสถานการณ์การเมืองในประเทศกดดัน แต่หุ้นในพอร์ตบางตัวกลับมีพฤติกรรมที่แตกต่างออกไป ที่น่าประหลาดใจคือ หุ้นบางตัวกลับมีราคา “นิ่ง” คือไม่บวกไม่ลบเลย และที่โดดเด่นยิ่งกว่านั้นคือ บางตัวสามารถปรับตัว “เขียว” หรือเพิ่มขึ้นสวนกระแสตลาดโดยรวมได้อีกด้วย
การค้นพบนี้ทำให้เกิดคำถามสำคัญว่า มีสาเหตุอะไรที่ทำให้หุ้นบางตัวสามารถทนทานต่อสภาวะความวุ่นวายได้มากขนาดนี้? นี่คือจุดเริ่มต้นในการศึกษาหลักการ การลงทุนช่วงวิกฤต ที่เน้นความคงทน
หลักการเลือกหุ้นทนทานต่อวิกฤต ตามแนวคิด Value Investing (VI)
อาจารย์ประพาส เบิร์ด ลงทุนกล้วยๆ ได้ให้คำแนะนำถึงหลักการในการ เลือกหุ้นอย่างไร ให้สามารถทนทานต่อสภาวะเศรษฐกิจหรือการเมืองที่ผันผวน ซึ่งเป็นแนวคิดหลักของการลงทุนแบบ Value Investing (VI) ที่แท้จริง โดยมีหลักสำคัญดังนี้:
1. สินค้าจำเป็น (Essential Goods)
สิ่งแรกที่ควรพิจารณาคือ การเลือกลงทุนในหุ้นที่เป็น “หุ้นสินค้าจำเป็นจริงๆ” ต่อการดำรงชีวิต คำว่า “จำเป็นจริงๆ” หมายถึง สินค้าหรือบริการที่ไม่สามารถเลื่อนการบริโภคออกไปได้เลย หากไม่กิน ไม่ใช้ แล้วจะเกิดผลกระทบอย่างรุนแรงต่อชีวิตหรือสุขภาพ ตัวอย่างเช่น ธุรกิจในกลุ่ม Health Care บางประเภทที่หากไม่ใช้บริการแล้วจะทำให้สุขภาพทรุดโทรมลงอย่างรวดเร็ว หรืออาจถึงขั้นเสียชีวิต
ในทางตรงกันข้าม หากเป็นสินค้าที่ลูกค้าสามารถบอกว่า “เลื่อนไปก่อนได้” หรือ “ไม่ใช้ก็ไม่เป็นไร” แบบนี้ถือว่าไม่จำเป็น
- ตัวอย่างสินค้าที่ไม่จำเป็น
- การกู้เงิน: โดยส่วนใหญ่แล้วการกู้เงินส่วนบุคคลมักไม่ได้เกิดจากความจำเป็นที่แท้จริง เช่น การกู้เงินเพื่อเช่าซื้อรถยนต์ (สามารถใช้ขนส่งสาธารณะแทนได้) หรือการซื้อบ้าน แม้ที่อยู่อาศัยจะจำเป็น แต่การ “ซื้อ” บ้านอาจไม่จำเป็นเสมอไป เพราะสามารถเช่าได้ จะเห็นได้ว่าเมื่อดอกเบี้ยสูงขึ้น ผู้คนก็มักจะเลื่อนการตัดสินใจซื้อออกไป ทำให้ยอดขายบ้านลดลงอย่างมาก
- เครื่องสำอาง: เป็นอีกตัวอย่างที่สามารถชะลอการซื้อหรือไม่ซื้อได้
ดังนั้น การวิเคราะห์ให้ดีว่าธุรกิจที่เราสนใจนั้นเป็นสินค้าจำเป็นจริงๆ หรือไม่ จึงเป็นสิ่งสำคัญมาก
2. ธุรกิจในประเทศ (Domestic Business)
ประการที่สองคือ ควรเลือกหุ้นที่ดำเนินธุรกิจและมียอดขาย “เฉพาะในประเทศเท่านั้น” หรือที่เรียกว่า หุ้น Domestic Play การที่ธุรกิจมีฐานลูกค้าอยู่ในประเทศอย่างเดียว จะช่วยลดความเสี่ยงและหลีกเลี่ยงปัญหาที่เกิดจากสถานการณ์การเมือง หรือความผันผวนทางเศรษฐกิจจากภายนอกประเทศ ซึ่งจะทำให้ธุรกิจทนทานต่อเหตุการณ์ภายนอกที่ไม่สามารถควบคุมได้
3. สินค้าที่กระจายอุตสาหกรรมหลากหลาย (Diversified Industries)
นอกจากสองหลักการข้างต้นแล้ว ควรมีการ การกระจายความเสี่ยง ใน “อุตสาหกรรมที่หลากหลาย” เพื่อลดความเสี่ยงไม่ให้พอร์ตการลงทุนกระจุกตัวเกินไป การมีสินค้าที่กระจายตัวในอุตสาหกรรมที่หลากหลายจะช่วยลดผลกระทบหากอุตสาหกรรมใดอุตสาหกรรมหนึ่งได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง
หลักการลงทุน VI เน้นความปลอดภัยไว้ก่อนการเติบโต
สิ่งสำคัญที่สุดในยามวิกฤตคือการวางแผนโดยเน้น “ความปลอดภัย” เป็นหลัก มากกว่าการมองหาการเติบโตเพียงอย่างเดียว นักลงทุนส่วนใหญ่มักจะตามหาการเติบโต ซึ่งไม่ใช่เรื่องผิด แต่ต้องเข้าใจว่าเหตุการณ์วิกฤตเป็นสิ่งที่ไม่สามารถคาดการณ์ล่วงหน้าได้
ดังนั้น หลักการลงทุนของ หุ้น VI ที่แท้จริงคือการเลือกหุ้นที่เน้นความปลอดภัยไว้ก่อน ไม่ได้มองเพียงแค่ว่าหุ้นตัวนี้จะเติบโต 30-40% เท่านั้น แต่ต้องตอบคำถามให้ได้ว่า “หากเกิดปัญหาหรือวิกฤตขึ้น หุ้นตัวนี้จะได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงมากแค่ไหน?” หุ้นที่เข้าเกณฑ์ (สินค้าจำเป็นและ Domestic) คือหุ้นที่พบว่าไม่ปรับตัวลดลง หรือบางตัวปรับตัวขึ้นได้ในภาวะตลาดเช่นนี้
“การบ้าน” สำหรับนักลงทุน ลงมือค้นหาหุ้นแกร่งด้วยตัวเอง
เพื่อนำหลักการเหล่านี้ไปประยุกต์ใช้ อาจารย์ประพาส เบิร์ด ลงทุนกล้วยๆ ได้แนะนำ “การบ้าน” สำหรับนักลงทุน โดยให้ลองสำรวจข้อมูลหุ้นไทยทั้งหมดในช่วง 1-2 สัปดาห์ที่ผ่านมา เพื่อค้นหาว่ามีหุ้นตัวใดบ้างที่ราคาไม่ลดลงเลย หรือกลับเพิ่มขึ้นได้สวนกระแสตลาด จากนั้นให้วิเคราะห์เจาะลึกว่าธุรกิจของหุ้นเหล่านั้นเข้าข่าย “หุ้นสินค้าจำเป็น” หรือ “ธุรกิจในประเทศ” หรือไม่
การใช้เวลาในช่วงที่ตลาดผันผวนเช่นนี้ในการทำการบ้านเพื่อหา หุ้นพื้นฐานดี ที่สามารถดำเนินไปต่อได้อย่างไม่สะดุด
บทสรุปและข้อควรระวัง ชัยชนะระยะสั้น ไม่ใช่การรับประกันระยะยาว
สุดท้ายนี้ สิ่งที่ต้องเน้นย้ำคือ แม้หุ้นบางตัวจะแสดงความทนทานต่อวิกฤตในช่วงสั้นๆ จากปัจจัยการเมืองหรือสงคราม แต่ “อย่าประมาท” และคิดว่ามันจะแข็งแกร่งเช่นนี้ตลอดไป เพราะในอนาคตอาจมีปัจจัยเสี่ยงรูปแบบอื่นเข้ามากระทบได้เสมอ การที่ หุ้นทนวิกฤต ต่อสภาวะปัญหาทางการเมืองถือเป็นสัญญาณที่น่าสนใจ แต่ก็ยังคงต้องศึกษาปัจจัยอื่นๆ อย่างต่อเนื่อง และทำความเข้าใจธุรกิจให้ลึกซึ้ง เพื่อ การลงทุนระยะยาว ที่ปลอดภัย