Hot Topic! แบงก์ชาติคงดอกเบี้ย หุ้น Non-Bank ลบทั้งแผง (แต่ลบน้อย) | Hot Topic! EP.24
แบงก์ชาติ คง ดอกเบี้ย หุ้น Non-Bank ลบทั้งแผง (แต่ลบน้อย)
ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ตลาดทุนไทยต้องจับตาสถานการณ์สำคัญ 2 ประเด็น ที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อกลุ่มธุรกิจ Non-Bank และกลุ่มโรงพยาบาล ซึ่งรายการ เบิร์ดลงทุนกล้วยๆ ได้เชิญ อาจารย์ประพาส มาร่วมวิเคราะห์อย่างเจาะลึก เพื่อให้นักลงทุนเข้าใจภาพรวมและความเสี่ยงที่เกิดขึ้น
ประเด็นแรกคือการตัดสินใจของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และประเด็นที่สองคือการประกาศนโยบายควบคุมราคายาของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์
1. ธปท. คงดอกเบี้ยนโยบาย สัญญาณเศรษฐกิจปีหน้า “ดูไม่ค่อยดีเลย”
ก่อนหน้านี้มีกระแสคาดการณ์ว่า ผู้ว่าการ ธปท. คนใหม่อาจมาพร้อมนโยบายที่เน้นการลดอัตราดอกเบี้ยในลักษณะ “ลึกและนาน” ซึ่งนำไปสู่การตีความว่าหมายถึง “นานกว่าจะลงลึก” หรือ “ลดลงลึกไปนาน ๆ”
แต่ผลการประชุม กนง. (ซึ่งทำหน้าที่คล้ายกับ Fed ของสหรัฐฯ) กลับมีมติ 5 ต่อ 2 เสียง ให้ คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 1.5% โดยมีเพียง 2 เสียงเท่านั้นที่เห็นว่าควรลดดอกเบี้ยต่อ
ทำไมหุ้น Non-Bank MTC, TIDLOR ลงไม่เยอะหลัง กนง. คงดอกเบี้ย?
ภายหลังการประกาศคงดอกเบี้ย หุ้นกลุ่ม Non-Bank ปรับตัวลดลงทั้งแผง นำโดยหุ้นอย่าง MTC และ TIDLOR แต่การปรับตัวลงนั้นมีค่าเฉลี่ยเพียงประมาณ 1% ซึ่งถือว่าไม่รุนแรงมากนัก
อาจารย์ประพาส ได้วิเคราะห์เหตุผลที่หุ้น Non-Bank ไม่ร่วงแรงไว้ 3 ข้อหลัก
- ความผิดหวังเล็กน้อย นักลงทุนผิดหวังเพียงเล็กน้อยที่ ธปท. ไม่ลดดอกเบี้ยต่อ เพราะหากมีการลดดอกเบี้ย บริษัท Non-Bank ก็จะได้รับประโยชน์จากต้นทุนทางการเงินที่ลดลง
- ราคาหุ้นที่ไม่แพง ราคาหุ้นในกลุ่ม Non-Bank โดยรวมแล้วไม่ได้อยู่ในระดับที่แพงอยู่แล้ว ทำให้ยากที่จะเกิดการเทขายหรือปรับตัวลงไปมากกว่านี้
- ผลประกอบการยังดี การคงดอกเบี้ยแปลว่าต้นทุนของ Non-Bank ไม่ได้เพิ่มขึ้น และรายได้ก็ไม่ได้ลดลง ดังนั้น ผลประกอบการก็ยังควรจะดีเหมือนเดิมตามปกติ
ภาพรวม เศรษฐกิจ ที่น่ากังวล ความเสี่ยงภาวะเงินฝืด และ GDP Growth ชะลอตัว
สิ่งที่ อาจารย์ประพาส มองว่าน่าสนใจและเป็นประเด็นที่ต้องติดตามคือ ตัวเลขคาดการณ์ทางเศรษฐกิจที่ ธปท. ได้เปิดเผยออกมา ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความเสี่ยงในปีหน้า
- การส่งออก แม้ว่าปีปัจจุบัน (ก่อนหน้านี้) การส่งออกจะเติบโตถึง +10% (ครึ่งปีแรกโต 15% และครึ่งปีหลังโต 5%) ซึ่งเป็นตัวช่วยสำคัญที่ทำให้เศรษฐกิจในปีนี้ที่ว่าแย่แล้วยังดูดีขึ้น แต่ ปีหน้า ธปท. คาดการณ์ว่าการส่งออกจะติดลบถึง -1% การคาดการณ์ที่ติดลบนี้บ่งชี้ว่าเศรษฐกิจในปีหน้าอาจจะ “ดูไม่ค่อยดี”
- GDP Growth อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) คาดการณ์ไว้ที่ +2.2% ในปีปัจจุบัน แต่คาดว่าจะ ลดลงเหลือเพียง +1.6% ในปีหน้า ซึ่งสะท้อนว่าปีหน้าอาจจะแย่กว่าปีปัจจุบันที่ว่าแย่อยู่แล้ว
- การบริโภคภาคเอกชน การบริโภคภาคเอกชน ซึ่งเป็นภาพที่ใกล้ตัวประชาชนมากที่สุด ก็มีแนวโน้มอ่อนตัวลงอย่างต่อเนื่อง จากปีที่แล้วที่ +4.4% ลดลงเหลือ +2.1% ในปีนี้ และจะลดลงไปอีกเหลือเพียง +1.8% ในปีหน้า การนำเข้าที่ลดลงก็สะท้อนถึงการบริโภคในประเทศที่ซอฟต์ตัวลงเช่นกัน
- ภาวะเงินฝืด (Deflation) อัตราเงินเฟ้อทั่วไปของไทยในปีปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 0.x% หรือใกล้เคียง 0% ซึ่งถือว่ามีความเสี่ยงที่จะเข้าสู่ภาวะเงินฝืด หากตัวเลขเงินเฟ้อติดลบเมื่อใด ก็จะเข้าสู่ภาวะเงินฝืด ซึ่งเป็นสัญญาณอันตรายที่ทำให้เศรษฐกิจแย่ลงเรื่อย ๆ เพราะผู้คนจะเก็บเงินไว้และไม่ใช้จ่าย ทำให้ราคาสินค้าต้องลดลง ธปท. คาดการณ์ว่าปีหน้าเงินเฟ้อยังคงอยู่ที่ 0.x% ซึ่งยังคงมีความเสี่ยงที่จะเข้าสู่ภาวะเงินฝืดอยู่
- การลงทุนภาครัฐเป็นความหวัง จุดที่น่าสนใจท่ามกลางตัวเลขที่อ่อนแอ คือ ธปท. คาดการณ์ว่า การลงทุนภาครัฐจะขยายตัวขึ้นอย่างมาก จาก 5.1% เป็น 6.5% ในปีหน้า หากภาพนี้เกิดขึ้นจริง หุ้นที่เกี่ยวข้องกับภาคการลงทุนภาครัฐอาจจะได้รับประโยชน์มากกว่ากลุ่มอื่น ๆ อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงยังคงอยู่ที่ความไม่แน่นอนของรัฐบาลชั่วคราว 4 เดือนในปัจจุบัน
อาจารย์ประพาส สรุปภาพรวมเศรษฐกิจว่า ปีหน้าดูเหมือนจะ “เหนื่อย” เนื่องจากไม่มีตัวช่วยอย่างการส่งออกที่เติบโตสูงเหมือนปีนี้ และการบริโภคภาคเอกชนก็ยังซอฟต์ตัวลง
2. นโยบายคุมราคายา ตลาดมองผลกระทบต่อหุ้นโรงพยาบาล มีจำกัด
อีกหนึ่งประเด็นสำคัญที่ถูกหยิบยกมาในรายการ เบิร์ดลงทุนกล้วยๆ คือ นโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ (คุณศุภจี) ที่ตั้งใจจะ คุมราคายา และให้โรงพยาบาลเอกชน เปิดเผยราคา ยา เพื่อให้ผู้ป่วยสามารถเลือกซื้อยาจากร้านขายยาภายนอกได้ ซึ่งนโยบายนี้ดูเหมือนจะเป็นปัจจัยเชิงลบต่อหุ้นโรงพยาบาล
แต่สิ่งที่น่าแปลกใจคือ หุ้นโรงพยาบาลเอกชนทุกตัวกลับไม่ปรับตัวลดลงเลย ไม่ว่าจะเป็นโรงพยาบาลระดับพรีเมียม กลาง หรือโรงพยาบาลที่รับประกันสังคม ในทางตรงกันข้าม หุ้นที่เกี่ยวข้องกับร้านขายยา เช่น HL กลับปรับตัวขึ้นอย่างมีนัยสำคัญกว่า 6% ในวันเดียว
อาจารย์ประพาส วิเคราะห์โครงสร้างรายได้และกำไร ของโรงพยาบาล
เพื่อให้เข้าใจถึงปฏิกิริยาของตลาด อาจารย์ประพาส ได้อธิบายโครงสร้างธุรกิจของโรงพยาบาลเอกชนว่า มีรายได้หลักมาจาก 2 ส่วน คือ ผู้ป่วยนอก (OPD) และผู้ป่วยใน (IPD)
- ค่าแพทย์ (Doctor Fee) รายได้ส่วนนี้ โดยปกติแล้ว โรงพยาบาลจะส่งมอบให้กับแพทย์เกือบทั้งหมด ดังนั้น แม้จะเป็นรายได้ของโรงพยาบาล แต่ก็ไม่ใช่กำไร
- แหล่งกำไรหลัก กำไรจริง ๆ ของโรงพยาบาลมักจะมาจาก IPD (ผู้ป่วยใน) และสิ่งที่ทำกำไรจริง ๆ คือ ค่า ยา และเวชภัณฑ์
อาจารย์ประพาส ชี้ว่า โรงพยาบาลเอกชนมีต้นทุนการดำเนินงานที่สูงมาก ทั้งค่าสิ่งปลูกสร้าง (facility) ค่าอุปกรณ์ทางการแพทย์ ค่าบุคลากร และต้องมีหลายแผนกที่ต้องเปิดสแตนบายไว้ ซึ่งหลายแผนกมักจะขาดทุน เช่น แผนกฉุกเฉิน (ER) ซึ่งส่วนใหญ่มักขาดทุน เพราะไม่สามารถปฏิเสธคนไข้ได้ ไม่ว่าจะมีเงินจ่ายหรือไม่ก็ตาม ดังนั้น กำไรที่ได้จาก ค่า ยา จึงถูกนำมาใช้เพื่อ อุดหนุน (Subsidize) ต้นทุนอื่น ๆ และแผนกที่ขาดทุนเหล่านี้
ทำไมตลาดจึงมองว่านโยบายควบคุมราคายามีผลกระทบจำกัด
นักลงทุนมองว่า นโยบายการควบคุมราคายาอาจส่งผลกระทบจำกัดและอาจเกิดขึ้นจริงได้ยาก ด้วยเหตุผลหลายประการ
- ความพยายามที่ไม่เคยสำเร็จ ประเด็นการคุมราคายานั้นไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่เป็นเรื่องที่ถูกพูดถึงมานานกว่า 10-15 ปีแล้วในหลายรัฐบาล แต่ก็ยังไม่มีรัฐบาลใดที่ผลักดันให้สำเร็จได้อย่างถาวร
- กรอบเวลาจำกัด รัฐมนตรีมีวาระทำงานเพียง 4 เดือน การผลักดันนโยบายขนาดใหญ่นี้ในเวลาสั้น ๆ จึงเป็นเรื่องที่ท้าทาย
- ผู้ป่วยที่ซีเรียสเรื่องค่าใช้จ่าย ผู้ป่วยกลุ่มที่กังวลเรื่องค่าใช้จ่าย สามารถ ขอคุณหมอซื้อยาข้างนอกได้ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ซึ่งบางครั้งแพทย์ก็เป็นผู้แนะนำเอง
- อัตรากำไรสุทธิ (Net Profit Margin) ประเด็นสำคัญคือ อัตรากำไรสุทธิของโรงพยาบาลเอกชนส่วนใหญ่จะอยู่ที่ประมาณ 10% ถึง 15% อาจารย์ประพาส ระบุว่า 10% ถือเป็นอัตรากำไรขั้นพื้นฐานของธุรกิจทั่วไป มีเพียงโรงพยาบาลระดับ Super Luxury หรือโรงพยาบาลที่มีลูกค้าต่างชาติสูงมากเท่านั้น (เช่น BCH, PR9, BDMS, VIBHA, BH)
- ความเสี่ยงต่อระบบสาธารณสุข มีความเห็นจากผู้เชี่ยวชาญในวงการที่ อาจารย์ประพาส นำมากล่าวถึง โดยระบุว่า “กำไรค่า ยา [ของโรงพยาบาล] มันไปซับซิไดซ์ต้นทุนอื่น ๆ… ถ้าลดค่า ยาลงแล้ว โรงพยาบาลขาดทุน จะทำให้โรงพยาบาลปิดกิจการไปอีก ก็ยิ่งกลายเป็นภาระโรงพยาบาลรัฐ” การแก้ปัญหาที่แท้จริงคือการเพิ่มจำนวนโรงพยาบาลและลดต้นทุนอื่น ๆ ให้เอกชน (เช่น ลดภาษี) ไม่ใช่การแทรกแซงราคา
สรุปมุมมองของ อาจารย์ประพาส ต่อหุ้นโรงพยาบาล
อาจารย์ประพาส เห็นด้วยกับมุมมองของตลาดว่า โอกาสที่นโยบายการควบคุมราคายาจะเกิดขึ้นจริงอย่างถาวรและส่งผลกระทบรุนแรงนั้นเป็นไปได้ยาก เนื่องจากโครงสร้างธุรกิจของโรงพยาบาลเอกชนมีความจำเป็นต้องใช้กำไรจากค่ายามาบริหารจัดการต้นทุนและอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ที่สูงอยู่แล้ว นักลงทุนจึงมองว่าผลกระทบนี้เป็นเพียงปัจจัยชั่วคราวเท่านั้น