Hot Topic

Hot Topic! รัฐคุมราคายา อวสานหุ้นกลุ่ม รพ.? เข้าใจต้นทุน กำไร รพ. | Hot Topic! EP.26

รัฐ คุมราคายา อวสานหุ้นกลุ่ม รพ.? เข้าใจต้นทุน กำไร รพ.

ประเด็นร้อนที่นักลงทุนจับตามอง คือ “นโยบายควบคุมราคายา” ในโรงพยาบาลเอกชน ซึ่งภาครัฐตั้งเป้าเพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายของผู้บริภค คำถามสำคัญคือ มาตรการนี้จะส่งผลกระทบต่อกำไรและราคาหุ้นโรงพยาบาลอย่างที่หลายคนกังวลจริงหรือไม่?

ในบทความนี้ อาจารย์ประพาสและเบิร์ด จากลงทุนกล้วยๆ จะพาไปวิเคราะห์เจาะลึกโครงสร้างธุรกิจ, ที่มาของกำไร และมุมมองของตลาดต่อหุ้นโรงพยาบาล เพื่อให้นักลงทุนเห็นภาพที่ชัดเจนยิ่งขึ้น

นโยบายคุมราคายา กระทบหุ้นโรงพยาบาลแค่ไหน? ส่อง 2 มาตรการหลัก

นโยบายหลักที่ถูกประกาศออกมาเพื่อจัดการปัญหาราคายา มี 2 ข้อสำคัญด้วยกัน

  1. การเปิดเผยราคาอย่างชัดเจน กำหนดให้โรงพยาบาลเอกชนต้องแสดงราคายา เพื่อให้ผู้ป่วยสามารถเปรียบเทียบและมีทางเลือกในการซื้อยาจากร้านขายยาภายนอกได้
  2. การตั้งเป้าควบคุมราคา มีเป้าหมายเพื่อควบคุมราคายาและเวชภัณฑ์ที่จำเป็น เพื่อลดภาระค่ารักษาพยาบาล

เมื่อมองเผินๆ นโยบายทั้งสองข้อนี้ดูเหมือนจะเป็นปัจจัยลบโดยตรงต่อธุรกิจโรงพยาบาลเอกชน แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในตลาดกลับน่าสนใจกว่านั้น

ทำไมหุ้นโรงพยาบาลไม่ตก? สัญญาณจากตลาดที่นักลงทุนต้องรู้

สิ่งที่น่าสนใจอย่างยิ่งคือ หลังจากการประกาศนโยบาย ราคาหุ้นโรงพยาบาลเอกชนกลับไม่มีการปรับตัวลดลงเลยแม้แต่แห่งเดียว ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มโรงพยาบาลพรีเมียม, โรงพยาบาลระดับกลาง หรือโรงพยาบาลที่รับประกันสังคม แม้แต่โรงพยาบาลที่เข้าร่วมโครงการแล้วอย่าง VIBHA, BDMS และ BCH ราคาหุ้นก็ยังทรงตัว

ในทางตรงกันข้าม ธุรกิจร้านขายยา เช่น บริษัท เฮท (Het) กลับได้รับผลบวกชัดเจน โดยราคาหุ้นปรับตัวขึ้นกว่า 6% ในวันเดียว ปรากฏการณ์นี้ทำให้นักลงทุนต้องกลับมาคิดว่า ทำไมตลาดถึงมองว่าผลกระทบต่อโรงพยาบาลอาจมีจำกัด?

เปิดโครงสร้างรายได้โรงพยาบาล กำไรที่แท้จริงมาจากไหน?

เพื่อจะเข้าใจผลกระทบ เราต้องเข้าใจโครงสร้างรายได้โรงพยาบาลและต้นทุนโรงพยาบาลเสียก่อน

รายได้จากผู้ป่วยนอก (OPD) vs ผู้ป่วยใน (IPD)

  • ผู้ป่วยนอก (OPD) (Outpatient) คือคนไข้ที่ไม่นอนค้างคืน (เช่น เป็นหวัด) รายได้ส่วนนี้มาจาก ค่าแพทย์ (Doctor Fee) และค่ายา ซึ่งโดยปกติแล้ว “ค่าแพทย์” เกือบทั้งหมดจะถูกส่งมอบให้แก่แพทย์ ไม่ได้เป็นกำไรของโรงพยาบาล
  • ผู้ป่วยใน (IPD) (Inpatient) คือคนไข้ที่นอนค้างคืน ซึ่งเป็นแหล่งรายได้หลัก เพราะมีทั้งค่าห้อง, ค่ารักษาพยาบาลที่ซับซ้อน, ค่าเครื่องมือทางการแพทย์ และค่าดูแลอย่างใกล้ชิด

ต้นทุนโรงพยาบาลเอกชน กับภาระ Fixed Costs ที่ต้องแบกรับ

โรงพยาบาลมีต้นทุนคงที่สูงมาก ไม่ว่าจะมีคนไข้หรือไม่ก็ตาม เช่น

  • ห้องฉุกเฉิน (ER) แผนกนี้ส่วนใหญ่มักจะขาดทุน เพราะไม่สามารถปฏิเสธผู้ป่วยได้
  • ต้นทุนบุคลากร ต้องมีแพทย์และพยาบาลประจำในทุกแผนก ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายเงินเดือนที่สูง
  • ต้นทุนอาคารและอุปกรณ์ ค่าเสื่อมราคาของสิ่งปลูกสร้างและเครื่องมือแพทย์ที่มีราคาแพง

“ค่ายา” หัวใจสำคัญของกำไรโรงพยาบาลเอกชน

เมื่อหักค่าแพทย์ที่ต้องจ่ายให้หมอ และแบกรับต้นทุนคงที่มหาศาล ทำให้ กำไรที่แท้จริงของกำไรโรงพยาบาลเอกชนจึงมาจาก “ค่ายาและเวชภัณฑ์” โดยเฉพาะจากกลุ่มผู้ป่วยใน (IPD)

พฤติกรรมผู้ป่วย และปัจจัยที่ทำให้ต้องซื้อยาจาก โรงพยาบาล

แม้จะมีทางเลือกให้ซื้อยาจากร้านข้างนอก แต่ในความเป็นจริง ผู้ป่วยแบ่งได้เป็น 2 กลุ่มหลัก

  1. กลุ่มที่อ่อนไหวต่อราคา (Price Sensitive) ผู้ป่วยกลุ่มนี้มักจะขอใบสั่งยาเพื่อไปซื้อยาข้างนอกอยู่แล้ว ดังนั้นนโยบายนี้จึงแทบไม่ส่งผลกระทบเพิ่มเติม
  2. กลุ่มที่เน้นบริการ (Service Oriented) ผู้ป่วยกลุ่มนี้เลือกโรงพยาบาลเอกชนเพราะความสะดวกสบาย การบริการ และยอมจ่ายแพงกว่าเพื่อแลกกับคุณภาพ พวกเขาจึงไม่เสียเวลาไปหาซื้อยาข้างนอก

ความท้าทายของ “ยาออริจินอล (Original Drugs)” ที่หาซื้อยาก

อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญคือ โรงพยาบาลเอกชนมักใช้ ยาออริจินอล (Original Drugs) ที่มีคุณภาพสูงและราคาแพง ซึ่งยาเหล่านี้มีข้อจำกัดคือ

  • หายากในร้านขายยาทั่วไป ร้านขายยาเล็กๆ มักสต็อกแค่ยาพื้นฐาน ไม่กล้าสต็อกยาแพงที่เสี่ยงขาดทุน
  • ต้องจ่ายโดยแพทย์เท่านั้น ยาเฉพาะทางหลายตัวผิดกฎหมายหากซื้อขายออนไลน์ และต้องใช้ใบสั่งยาจากแพทย์

ดังนั้น ต่อให้เปิดเผยราคา แต่ถ้าผู้ป่วยจำเป็นต้องใช้ยาเฉพาะทาง ก็ยังต้องซื้อจากโรงพยาบาลอยู่ดี

วิเคราะห์อัตรากำไรสุทธิโรงพยาบาล กำไรเกินควรจริงหรือ?

หากพิจารณาจาก อัตรากำไรสุทธิ (Net Profit Margin) จะพบว่าโรงพยาบาลส่วนใหญ่ไม่ได้มีกำไรสูงผิดปกติ

  • BCH (เกษมราษฎร์) Net Margin ประมาณ 12%
  • PR9 Net Margin ประมาณ 14-15% (กำไรส่วนใหญ่มาจากคนไข้ต่างชาติ)
  • BDMS Net Margin ประมาณ 14-15%
  • VIBHA (วิภาวดี) Net Margin ประมาณ 6%
  • BH (บำรุงราษฎร์) Net Margin สูงถึง 29% แต่มาจากบริการระดับพรีเมียมและสัดส่วนคนไข้ต่างชาติเกือบครึ่งหนึ่ง รวมถึงเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีการรักษาที่ลงทุนสูง

จะเห็นได้ว่าอัตรากำไรสุทธิ 10-15% ถือเป็นเกณฑ์ปกติของธุรกิจทั่วไป ไม่ได้สูงเกินจริง

สรุป วิเคราะห์หุ้นโรงพยาบาลจากนโยบายคุมราคายา

สรุปโดย อาจารย์ประพาสและเบิร์ด จากลงทุนกล้วยๆ แม้ว่าการลดราคายาจะกระทบกำไรของโรงพยาบาลโดยตรง แต่ในทางปฏิบัติ โอกาสที่นโยบายคุมราคาอย่างเข้มงวดจะเกิดขึ้นจริงในระยะสั้นและส่งผลกระทบรุนแรงนั้นเป็นไปได้ยาก ซึ่งตลาดหุ้นก็ได้สะท้อนมุมมองนี้ไปแล้ว

นักลงทุนมองว่าปัญหานี้เป็นเรื่องที่พูดคุยกันมากว่า 10 ปี แต่ยังไม่เคยทำได้สำเร็จ การแก้ปัญหาที่ยั่งยืนอาจไม่ใช่การแทรกแซงราคา แต่เป็นการส่งเสริมให้มีโรงพยาบาลและบุคลากรทางการแพทย์เพิ่มขึ้น เพื่อให้กลไกตลาดทำงานได้อย่างสมบูรณ์

ดังนั้น ความเสี่ยงจากนโยบายนี้อาจมีจำกัด และนักลงทุนควรพิจารณาปัจจัยพื้นฐานอื่นๆ ของหุ้นแต่ละตัวประกอบการตัดสินใจต่อไป

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Protected by CleanTalk Anti-Spam