ปีนี้เศรษฐกิจพัง แต่นี่คือปีทองการลงทุนในรอบ 10 ปี ต่อจากนี้ | EP.164
ปีทองตลาดหุ้นไทย โอกาสครั้งสำคัญที่รอคอย
ในปีนี้ เศรษฐกิจไทย อาจดูเหมือนเผชิญกับความท้าทายหลายประการ แต่สำหรับนักลงทุนผู้มองการณ์ไกล นี่อาจเป็น “ปีทองของการลงทุน” ในรอบ 10 ปีต่อจากนี้ เลยทีเดียว บทความนี้จะเจาะลึกมุมมองและเหตุผลที่ อาจารย์ประพาส ได้วิเคราะห์ไว้ พร้อมบทสนทนากับ เบิร์ด ลงทุนกล้วยๆ ซึ่งให้ภาพที่ชัดเจนว่าเหตุใดภาวะเช่นนี้จึงเป็นโอกาสที่นักลงทุนทั้งมือใหม่และผู้ที่ต้องการปรับพอร์ตไม่ควรมองข้าม
ภาพรวมเศรษฐกิจไทย ทำไมผลประกอบการบริษัทส่วนใหญ่ถึงผิดเป้า?
หากพิจารณางบการเงินของบริษัทหลายแห่งในตลาดหุ้นไทยปีนี้ จะพบว่า ผลประกอบการโดยรวมแย่ลงอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะงบไตรมาส 2 ที่เริ่มประกาศออกมาแล้ว หลายบริษัท “ผิดเป้า” ที่ตั้งไว้ถึง 70-80% ของตลาด รายได้ลดลง กำไรลดลง สะท้อนให้เห็นถึงสถานการณ์เศรษฐกิจที่ชะลอตัวและเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ราคาหุ้นในตลาดลดลงอย่างมากในปีนี้
ธนาคารแห่งประเทศไทยได้ประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีก 0.25% จาก 1.75% เป็น 1.5% ต่อปี แม้ว่าข่าวการลดดอกเบี้ยจะเป็นข่าวดีที่ตลาดหุ้นตอบรับในเชิงบวก โดยดัชนีตลาดหุ้นบวกขึ้นมา 10-18 จุดในวันนั้น แต่ผลกระทบที่แท้จริงต่อเศรษฐกิจยังคงต้องใช้เวลา
เข้าใจวัฏจักรตลาดหุ้น ความคาดหวัง vs. ความจริงในปีนี้
โดยปกติแล้ว ตลาดหุ้นมีวัฏจักรของมัน จุดเริ่มต้นของราคาหุ้นมักจะอยู่ที่ช่วงปลายปี ประมาณเดือนพฤศจิกายนถึงธันวาคมต่อเนื่องไปถึงมกราคม ในช่วงเวลานี้ บริษัทจดทะเบียนมักจะมีการประชุมนักวิเคราะห์ (Analyst Day) เพื่อนำเสนอผลประกอบการไตรมาส 3 และที่สำคัญคือ การวางแผนและประกาศเป้าหมายสำหรับปีถัดไป
ราคาหุ้นในวันนี้สะท้อนถึงความคาดหวังในอนาคตที่ชัดเจนและมองเห็นได้ เมื่อผู้บริหารประกาศเป้าหมายการเติบโตของรายได้และกำไรในปีหน้า ซึ่งส่วนใหญ่แล้วมักจะตั้งเป้าให้สูงขึ้น ตลาดก็จะสามารถคาดการณ์กำไรในอนาคตได้ เช่น จาก 100 ล้านเป็น 120 ล้าน และทำให้ราคาหุ้นปรับตัวสูงขึ้น นี่คือเหตุผลที่หุ้นมักจะขึ้นในช่วงปลายปีถึงต้นปี หากไม่มีเหตุการณ์ร้ายแรงเกิดขึ้น
อย่างไรก็ตาม ในปีนี้สถานการณ์พลิกผัน หลังจากที่ตลาดคาดหวังการเติบโตและราคาหุ้นปรับขึ้นในช่วงแรก แต่เมื่อผลประกอบการไตรมาส 1 ออกมาแย่กว่าคาด ราคาหุ้นก็เริ่มปรับลดลง และยิ่งเมื่องบไตรมาส 2 ออกมาแย่กว่าไตรมาส 1 อีก ทำให้ตลาดหุ้นเข้าสู่ภาวะ Bottom ในช่วงเดือนมิถุนายน-กรกฎาคมที่ผ่านมา
3 ปัจจัยหลักกระทบเศรษฐกิจไทย วิกฤตชั่วคราวหรือถาวร?
สิ่งสำคัญที่นักลงทุนต้องพิจารณาคือ ปัจจัยที่ทำให้เศรษฐกิจและตลาดหุ้นชะลอตัวในขณะนี้เป็นเหตุการณ์ “ชั่วคราว” หรือ “ถาวร” อาจารย์ประพาส ได้ชี้ให้เห็นถึงปัจจัยหลักที่ส่งผลกระทบ
1. ปัจจัยท่องเที่ยว เมื่อนักท่องเที่ยวจีนยังไม่กลับมา
◦ แม้ภาพรวมการท่องเที่ยวจะดูดีขึ้นเล็กน้อยในช่วงเดือนมกราคม 2568 ด้วยการเติบโต 22% เมื่อเทียบกับปีก่อน แต่หลังจากนั้น ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ถึงมิถุนายน จำนวนนักท่องเที่ยวโดยรวมกลับลดลงต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง นักท่องเที่ยวจีน ซึ่งเป็นสัดส่วนหลักที่หายไปอย่างมาก ตัวเลขลดลงถึง 40 กว่าเปอร์เซ็นต์ต่อเดือนติดต่อกัน 5 เดือน แม้กระทั่งเดือนกรกฎาคมก็ยังคงติดลบ 38% ◦ อาจารย์ประพาส มองว่าปัญหาการเดินทางของนักท่องเที่ยวจีนเป็นเพียง “เหตุการณ์ชั่วคราว” และมีรูปแบบการฟื้นตัวที่ใช้เวลาประมาณ 6 เดือนในทุกครั้งที่เคยเกิดปัญหา และตอนนี้ก็เริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัวเล็กน้อยแล้ว นอกจากนี้ แม้จำนวนนักท่องเที่ยวจากจีนและเอเชียจะลดลง แต่ภาคใต้ของไทยยังคงได้ประโยชน์จากการเติบโตของนักท่องเที่ยวชาวยุโรปที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก ◦ สื่อมักนำเสนอข่าวร้ายที่ขายดี ทำให้มุมมองของประชาชนได้รับอิทธิพลจากข่าวลบมากเกินไป เช่น ประเด็นเรื่องการโกงนักท่องเที่ยว หรือราคาที่พัก/บริการที่แพงขึ้น แต่ อาจารย์ประพาส ชี้ว่าเรื่องเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ และมักจะมีการตีความเกินจริงเมื่อเกิดภาวะที่นักท่องเที่ยวหายไป เพื่อหาสาเหตุมาอธิบาย ซึ่งความจริงแล้วหลายประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ก็มีราคาถูกกว่าไทยมานานแล้ว จึงเชื่อว่าสถานการณ์การท่องเที่ยวที่แย่ในปีนี้เป็นเพียงฐานต่ำ และจะค่อยๆ ฟื้นตัวในปีหน้า
2. ปัจจัยอัตราดอกเบี้ย สัญญาณบวกที่ต้องรอคอย
◦ ในช่วงหลังวิกฤตโควิด-19 (ปี 2020-2022) เศรษฐกิจไทยมีการฟื้นตัวที่ดี ซึ่งสอดคล้องกับช่วงที่ธนาคารแห่งประเทศไทยลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงสู่ระดับต่ำสุดที่ 0.5% ในช่วงกลางปี 2020 และคงอยู่ในระดับนั้นจนถึงกลางปี 2022 ◦ ผลกระทบของอัตราดอกเบี้ยต่อเศรษฐกิจและตลาดหุ้น ▪ ดอกเบี้ยต่ำ เมื่ออัตราดอกเบี้ยนโยบายต่ำ เงินจะไหลจากสินทรัพย์ที่มีผลตอบแทนต่ำ เช่น พันธบัตรรัฐบาล (ซึ่งในช่วงดอกเบี้ยสูงให้ผลตอบแทนถึง 3% แต่หากอัตราดอกเบี้ยนโยบายลดลง พันธบัตรรัฐบาลก็จะให้ผลตอบแทนต่ำลงด้วย) ไปสู่สินทรัพย์เสี่ยงที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่าอย่างตลาดหุ้น นอกจากนี้ ดอกเบี้ยลอยตัวที่ต่ำยังช่วยลดภาระดอกเบี้ยจ่ายของภาคธุรกิจ (อาจลดลงได้ถึง 100% เทียบกับช่วงดอกเบี้ยสูง) และภาคครัวเรือน (เช่น ดอกเบี้ยกู้บ้าน) ทำให้ประชาชนมีกำลังซื้อมากขึ้น และบริษัทกล้าลงทุนขยายกิจการมากขึ้น เกิดผลบวกต่อเศรษฐกิจโดยรวม ▪ ดอกเบี้ยสูง ในทางกลับกัน ช่วงที่ดอกเบี้ยสูง ภาระดอกเบี้ยจ่ายของบริษัทและประชาชนจะเพิ่มขึ้นอย่างมาก ทำให้กำไรบริษัทลดลง แม้รายได้จะเท่าเดิม กำลังซื้อของผู้บริโภคลดลง ยอดขายอสังหาริมทรัพย์และสินค้าเกี่ยวเนื่องลดลง การลงทุนใหม่ๆ ก็ชะลอตัว ซึ่งเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา (2023-2025) ที่เศรษฐกิจไม่ค่อยดีนัก การปรับขึ้นดอกเบี้ยเป็นสิ่งจำเป็นที่ธนาคารกลางต้องทำเพื่อควบคุมอัตราเงินเฟ้อที่เคยสูงถึง 5-6% เพื่อไม่ให้เศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะเงินเฟ้อสูงแบบโดมิโน่เหมือนในบางประเทศ ◦ แนวโน้มปัจจุบัน การลดดอกเบี้ยในปัจจุบันเป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น ดอกเบี้ยยังคงอยู่ในระดับสูง และผลกระทบเชิงบวกต่อเศรษฐกิจยังไม่เต็มที่ คาดว่าดอกเบี้ยจะค่อยๆ ลดลงสู่จุดต่ำสุดในปีหน้า ซึ่งจะส่งผลให้เศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวดีขึ้น นอกจากนี้ อาจารย์ประพาส ยังเชื่อว่ารัฐบาลชุดปัจจุบันซึ่งมีเวลาเหลืออีก 2 ปี จะต้องงัดทุกกลยุทธ์ออกมาใช้เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจก่อนหมดวาระ เพื่อเรียกความเชื่อมั่นจากประชาชน การลดดอกเบี้ยของธนาคารแห่งประเทศไทยจะสอดคล้องกับนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล
3. ปัจจัยสภาพอากาศ จาก La Niña สู่ El Niño
◦ ในปีนี้ เรากำลังเผชิญกับปรากฏการณ์ La Niña ซึ่งส่งผลให้มีฝนตกชุก น้ำมาก และอุณหภูมิลดลง 2-3 องศา อากาศที่เย็นขึ้นทำให้คนไม่อยากออกไปนอกบ้าน และไม่ต้องการดื่มเครื่องดื่มเย็นๆ ส่งผลกระทบต่อยอดขายเครื่องดื่มต่างๆ โดยรวมลดลงอย่างมาก แม้แต่เครื่องดื่มน้ำอัดลมก็ได้รับผลกระทบ ◦ อย่างไรก็ตาม ในอีก 2 ปีข้างหน้า คาดว่าจะเป็นคิวของปรากฏการณ์ El Niño ซึ่งจะทำให้อุณหภูมิสูงขึ้นกว่าเดิม นี่จะเป็นปัจจัยบวกที่ช่วยสนับสนุนยอดขายเครื่องดื่มและอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับอากาศร้อน
โอกาสลงทุนใน Bottom Cycle ทำไมปีนี้คือ “ปีทองของการลงทุน”?
จากปัจจัยทั้งหมดที่กล่าวมา อาจารย์ประพาส จึงมองว่าปีนี้คือ “ปีทองของการลงทุน” เนื่องจากเป็นช่วงที่เศรษฐกิจและผลประกอบการบริษัทอยู่ในจุดต่ำสุดของวัฏจักร (Bottom Cycle) การที่ราคาหุ้นปรับตัวลงมามาก สะท้อนถึงผลประกอบการที่แย่ลงอันเป็นผลจากปัจจัยชั่วคราว ทำให้เป็นโอกาสดีสำหรับนักลงทุนที่เข้าใจวัฏจักรและมองเห็นอนาคต
อาจารย์ประพาส เชื่อมั่นในตลาดหุ้นไทย แม้เศรษฐกิจภาพรวมอาจไม่เติบโตสูงนัก แต่สามารถ เลือก “ลงทุน” ในหุ้นรายตัว ที่มีศักยภาพการเติบโตและเป็นช่วง Bottom Cycle ได้ การเลือกหุ้นรายตัวที่มีผู้บริหารเก่ง มีวิสัยทัศน์ และสามารถบริหารจัดการธุรกิจได้อย่างยอดเยี่ยม เหนือกว่าค่าเฉลี่ยของตลาด ถือเป็นกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จ เพราะคนเหล่านี้สามารถนำพาบริษัทเติบโตได้แม้ในสภาพการแข่งขันที่รุนแรง
สำหรับนักลงทุนระยะยาวที่มองเห็นโอกาส อาจารย์ประพาส คาดการณ์ว่าตลาดหุ้นไทย (SET Index) มีโอกาสที่จะกลับไปแตะ 1,700-1,800 จุดได้ในอีก 2 ปีข้างหน้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากอัตราดอกเบี้ยยังคงอยู่ในระดับต่ำอย่างต่อเนื่องและยาวนานตามที่ผู้ว่าธนาคารแห่งประเทศไทยคนใหม่ได้กล่าวไว้ การที่ดอกเบี้ยต่ำจะทำให้เงินคล่องตัวขึ้น บริษัทกล้ากู้เงินเพื่อลงทุนขยายกิจการ คนกล้ากู้เพื่อซื้อบ้านหรือรถ ทำให้เศรษฐกิจขับเคลื่อนและตลาดหุ้นสามารถปรับตัวขึ้นได้อย่างต่อเนื่อง
นี่คือช่วงเวลาที่นักลงทุนต้องพิจารณาอย่างรอบคอบว่า จะลงทุนเมื่อดอกเบี้ยแพงและเศรษฐกิจไม่ดี หรือจะรอลงทุนเมื่อดอกเบี้ยถูก เศรษฐกิจดี และตลาดหุ้นก็ดีมากไปแล้ว สำหรับผู้ที่มองหาการ ลงทุนกล้วยๆ ในเชิงกลยุทธ์แล้ว การเข้าซื้อในช่วงที่ตลาดอยู่ ณ จุดต่ำสุดของวัฏจักร และเลือกลงทุนในบริษัทที่เข้าใจอย่างถ่องแท้ จะเป็นโอกาสที่คุ้มค่าอย่างยิ่ง ซึ่งต้องอาศัยการทำการบ้านอย่างหนักและอดทน ไม่ใช่แค่การเก็งกำไรระยะสั้น เพราะบางครั้งโชคดีก็เกิดขึ้นกับผู้ที่พร้อมเสมอ
อาจารย์ประพาส ยืนยันว่า ตนเองในฐานะนักลงทุน เชื่อมั่นในประเทศไทยและพยายามมองสิ่งที่เป็นจริงในปัจจุบัน พร้อมกับมีมุมมองเชิงบวกในอนาคต โอกาสในการลงทุนในตลาดหุ้นไทยจึงยังคงมีอยู่สำหรับผู้ที่ศึกษาและทำความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง

