ถือ dohome ไว้เมื่อต้นปี จากทุน 19 บาท
-จากที่ margin เขาหายไปเยอะ
-ค่าเงินอ่อนค่า ซึ่งมีผลต่อสินค้ากลุ่มที่นำเข้า/เหล็กและหุ้นตัวนี้
-NPM เขาลดลงมาก
-Debt เพิ่มขึ้น และเมื่อต้นปีที่ไม่ได้จ่ายปันผลแต่ปันผลเป็นหุ้นแทน จะมีความเสี่ยงถึงขั้น Finacial costเพิ่มอันเนื่องจากผลกระทบจากดอกเบี้ยขาขึ้นอีกด้วยไหม
จึง concen ว่าถ้ามองที่ระยะ 1-2 ปีนี้ ควร cut ออกเพื่อไปตัวอื่นที่น่าจะมีโอกาสสร้างกำไร/Port ได้ดีกว่านี้ไหม?
และหากเป็นเช่นนั้น ควร cut ออกอย่างไรดี หรือมีโอกาส ขยับขึ้น รอหลังน้ำท่วมดี
หรือยังควรถือต่อ....
ถือ dohome ไว้เมื่อต้นปี จากทุน 19 บาท
-จากที่ margin เขาหายไปเยอะ
-ค่าเงินอ่อนค่า ซึ่งมีผลต่อสินค้ากลุ่มที่นำเข้า/เหล็กและหุ้นตัวนี้
-NPM เขาลดลงมาก
-Debt เพิ่มขึ้น และเมื่อต้นปีที่ไม่ได้จ่ายปันผลแต่ปันผลเป็นหุ้นแทน จะมีความเสี่ยงถึงขั้น Finacial costเพิ่มอันเนื่องจากผลกระทบจากดอกเบี้ยขาขึ้นอีกด้วยไหม
จึง concen ว่าถ้ามองที่ระยะ 1-2 ปีนี้ ควร cut ออกเพื่อไปตัวอื่นที่น่าจะมีโอกาสสร้างกำไร/Port ได้ดีกว่านี้ไหม?
และหากเป็นเช่นนั้น ควร cut ออกอย่างไรดี หรือมีโอกาส ขยับขึ้น รอหลังน้ำท่วมดี
หรือยังควรถือต่อ....
ผมขออนุญาตไม่ให้คำแนะนำนะครับ ผมคิดว่าเราควรตัดสินใจด้วยตัวเอง แต่ผมจะให้ความเห็นผมแทนนะครับ
การลงทุนขึ้นอยู่กับมุมมองของเราเป็นหลักครับว่าเรามองว่าจะทำกำไรในหุ้นในระยะไหน
1. ระยะสั้น คือ ไม่เกิน 1 ปี Speculate
2. ระยะกลาง คือ 2-3 ปี Momentum
3. ระยะยาว คือ 5-10 ปี Value Investing
นี่เป็นเหตุผลที่ผมไม่สามารถให้คำแนะนำได้ครับ เพราะแต่ละคนมีเป้าหมายในการลงทุนที่แตกต่างกัน
ถ้ามองระยะสั้น ผมก็บอกได้เลยว่าผมเชื่อว่าตอนงบ Q3 ออก น่าจะกำไรต่ำสุดๆ และราคาน่าจะลงได้อีกครับ
ถ้ามองระยะกลาง ผมก็คิดว่ายังมีความเสี่ยงเรื่องราคาเหล็กที่ยังลงอยู่ครับ และการขยายสาขา ก็ยังกดดันรายจ่าย และต้องกู้เพิ่ม ทำให้มีดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นอีก ไหนจะเสี่ยงเรื่องการเพิ่มทุนอีกครับ
ถ้ามองระยะยาว ผมเชื่อว่า dh ยังขยายสาขาได้ทั่วประเทศ ยังโตได้อีกหลายเท่า และสาขาใหม่ๆที่เปิดมานั้นมี GPM 20-22%
ผมมั่นใจว่าอนาคตเราจะเห็น gpm เพิ่มขึ้นจากสัดส่วนลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงไป จะทำให้ผมกำไรหลายเด้งจากหุ้นตัวนี้
เห็นไหมครับว่ามุมมองของนักลงทุนที่แตกต่างกัน จึงทำให้เกิดจังหวะการลงทุนที่แตกต่างกันครับ
ดังนั้นตั้งแต่ dh ราคาลงมา ผมซื้อถัวราคามาตลอดจนตอนนี้ต้นทุนประมาณ 15.xx แต่ก็ยังขาดทุนอยู่ดี
แล้วผมก็เตรียมเงินก้อนใหญ่ไว้อีกก้อนหนึ่ง (จากการขายหุ้นตัวอื่น) ไว้เตรียมซื้อตอนงบ Q3 ออกอีกที
ณ ตอนนี้ dh มีสัดส่วนในพอร์ตผมมากกว่า 50% แล้วครับ และผมไม่กังวลใจใดๆเลยที่จะ All-in ถือหุ้น dh 90%-100% ของพอร์ต ตอนที่จะถัวราคาตอนงบ Q3 ออก
ความเข้าใจในธุรกิจ และมองภาพในอนาคต ที่แตกต่างกันส่งผลถึงความมั่นใจในการลงทุนที่แตกต่างกันครับ
ด้วยความหวังดีนะครับ หากคิดว่าอยากจะประสบความสำเร็จในตลาดหุ้น
เราควรค้นหาตัวเองให้เจอครับ ว่าเราเป็นนักลงทุนระยะไหน 1-3
แล้วใช้เครื่องมือที่เหมาะสม
คีย์คือ "ความมั่นใจ" ครับ หากเราไม่มั่นใจยากมากที่เราจะตัดสินใจได้ถูกต้องครับ
เพราะจะซื้อเพิ่มก็ไม่กล้า จะ cut ก็ไม่มั่นใจไปหมด
ค้นหาคำตอบให้ได้ครับ ว่าเรา "ไม่มั่นใจ" ในอะไร แล้วหาคำตอบให้เจอครับ
อย่าอยู่เฉยๆทำให้ความกังวลครอบงำการตัดสินใจของเราครับ
ทุกๆการตัดสินใจบนความ "ไม่มั่นใจ" จะให้ผลลัพธ์ที่เลวร้ายเสมอครับ 😉