Hot Topic! หุ้นแบงก์ กำไรโตยกแผง! แต่ซ่อนความเสี่ยงที่มือใหม่ไม่รู้ สายปันผลต้องดู| Hot Topic! EP.28
หุ้นแบงก์ กำไรโตยกแผง! แต่ซ่อนความเสี่ยงที่มือใหม่ไม่รู้ สายปันผลต้องดู
วิเคราะห์เจาะลึก หุ้นธนาคาร Q3 กำไรโตซ่อนความเสี่ยง? ส่อง Fund Flow ต่างชาติ สัญญาณขาขึ้นรอบใหม่ SET Index
สวัสดีครับนักลงทุนทุกท่าน ยินดีต้อนรับเข้าสู่บทความวิเคราะห์เจาะลึกที่ได้รับแรงบันดาลใจจากการพูดคุยในรายการของ เบิร์ด จากช่อง ลงทุนกล้วยๆ และ อาจารย์ประพาส ซึ่งได้มีการหยิบยกประเด็นร้อนแรงใน ตลาดหุ้นไทย ช่วงไตรมาส 3 มาวิเคราะห์อย่างละเอียด โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณีของ หุ้นกลุ่มธนาคาร ที่ประกาศผลประกอบการออกมาแล้วพบว่า “กำไรโตยกแผง” แต่กลับซ่อน ความเสี่ยง ที่คนส่วนใหญ่ไม่ได้สังเกตเห็น นอกจากนี้ เรายังจะมาดูสัญญาณสำคัญว่าการที่ เงินต่างชาติเริ่มไหลเข้า ตลาดหุ้นไทย อย่างต่อเนื่องในสัปดาห์ที่ผ่านมานั้น เป็นการส่งสัญญาณถึง “ขาขึ้นรอบใหม่” ของ SET Index หรือไม่
วิเคราะห์ หุ้นกลุ่มธนาคาร Q3 กำไรโตจริงหรือแค่ภาพลวงตา?
ในช่วงที่ผ่านมา ผลประกอบการไตรมาส 3 ของบริษัทจดทะเบียนใน ตลาดหุ้นไทย เริ่มทยอยประกาศออกมาแล้ว โดยเฉพาะกลุ่มแรก ๆ ที่ปรากฏตัวก่อนคือ กลุ่มธนาคาร ซึ่งสิ่งที่น่าสนใจคือ ทุกตัวมีกำไรเติบโตขึ้นทั้งหมด แต่ อาจารย์ประพาส ชี้ว่ามีตัวเลขบางอย่างที่ปรากฏอยู่ในงบการเงินของทุกธนาคารในแพทเทิร์นเดียวกัน ซึ่งอาจเป็น ความเสี่ยง ที่นักลงทุนมือใหม่ที่ตั้งใจถือหุ้นเอา เงินปันผล ควรระวังอย่างยิ่ง เพราะ ความเสี่ยง นี้จะส่งผลกระทบต่อ เงินปันผล ที่เราจะได้รับและราคาหุ้นได้ในที่สุด
ธุรกิจหลัก หุ้นธนาคาร รายได้ดอกเบี้ยสุทธิ ที่กำลังหดตัว
ก่อนหน้านี้มีการคาดการณ์กันว่า งบของธนาคารในปีนี้น่าจะไม่ค่อยดี เนื่องจากธนาคารส่วนใหญ่มีการปล่อยสินเชื่อที่เป็นลักษณะ “ดอกเบี้ยลอยตัว” (Floating Rate) เมื่อธนาคารกลาง (แบงก์ชาติ) ปรับลดดอกเบี้ยตามเทรนด์ดอกเบี้ยขาลง ดอกเบี้ยสินเชื่อของธนาคารก็จะต้องลดตามไปด้วย ซึ่งจะส่งผลกระทบให้ “รายได้ดอกเบี้ยสุทธิ” ลดลง
รายได้ดอกเบี้ยสุทธิ คือ รายได้ดอกเบี้ยรับ (จากการปล่อยสินเชื่อ) หักด้วย ดอกเบี้ยจ่าย (ที่จ่ายให้กับเงินฝากของประชาชน) แม้ว่าดอกเบี้ยจ่ายจะลดลงตามอัตราดอกเบี้ยนโยบายเช่นกัน (ดอกเบี้ยเงินฝากลดลง) แต่เนื่องจากดอกเบี้ยรับมีขนาดของเงินที่ใหญ่กว่าและเปอร์เซ็นต์สูงกว่า ทำให้ภาพรวมกำไรของธุรกิจธนาคารมักจะลดลงในช่วงดอกเบี้ยขาลง
เมื่อดูหลักฐานจากงบ Q3 ที่ประกาศออกมา จะพบว่าธนาคารใหญ่หลายแห่งมีกำไรสุทธิเติบโต เช่น KBank กำไรโตขึ้น 700 ล้าน, KTB กำไรโตขึ้น 3,000 ล้าน, SCB กำไรโต 10%, Krungsri (BAY) กำไรโต 1,000 ล้าน, และ KKP ก็มีกำไรเติบโต
แต่เมื่อเจาะไปที่ “รายได้ดอกเบี้ยสุทธิ” (ธุรกิจหลัก) กลับพบสัญญาณน่ากังวล
- KBank รายได้ดอกเบี้ยสุทธิ ไตรมาส 3 อยู่ที่ 34,000 ล้านบาท ลดลง 2,500 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว (YoY)
- KTB (กรุงไทย) รายได้ดอกเบี้ยสุทธิ ไตรมาส 3 ลดลงถึง 4,000 ล้านบาท เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ซึ่งถือเป็นการลดลงอย่างมีนัยสำคัญ
- SCB รายได้ดอกเบี้ยสุทธิ ลดลง 10% เมื่อเทียบกับปีก่อน (YoY)
นี่แสดงให้เห็นว่า ธุรกิจหลักของธนาคารส่วนใหญ่กำลังอ่อนแอลงหรือหดตัวลงจริง ซึ่งสอดคล้องกับแนวโน้มดอกเบี้ยขาลงที่ยังไม่สิ้นสุด
ปัจจัยหนุนกำไรหุ้นธนาคาร Q3 ที่ ‘ไม่ยั่งยืน’ (The Non-Core Boost)
หากรายได้หลักลดลง แต่กำไรสุทธิกลับเพิ่มขึ้น หมายความว่ากำไรที่เติบโตนั้นมาจากปัจจัยอื่น อาจารย์ประพาส ได้แกะไส้ในของกำไร Q3 และพบตัวขับเคลื่อนหลัก 2 ประการ
1. การตั้งสำรอง (ECL) ลดลง ปัจจัยดันกำไรชั่วคราว
ธนาคาร มีการ ตั้งสำรองหนี้เสีย หรือที่เรียกว่า ผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น (Expected Credit Loss – ECL) หาก ECL ลดลง กำไรสุทธิก็จะเพิ่มขึ้นทันที
- KBank ตั้ง ECL ลดลง 1,500 ล้านบาท เมื่อเทียบกับปีก่อน ซึ่งการลดลงนี้เป็นหัวใจหลักที่ทำให้กำไรของ KBank เพิ่มขึ้น 800 ล้านบาท
- KTB ก็มีการตั้ง ECL ลดลงไป 1,000 ล้านบาทเช่นกัน
ECL เป็นตัวเลขที่ผู้บริหารสามารถควบคุมได้ในระดับหนึ่ง (Management Overlay) เพื่อให้กำไรดูดีขึ้นชั่วคราว หรือใช้เป็นเบาะรองรับ (cushion) ในปีถัดไป หาก ECL ลดลงเพราะ NPL (หนี้เสีย) ลดลงตามเทรนด์ดอกเบี้ยขาลง ก็ถือเป็นปัจจัยเชิงบวก แต่หาก การตั้งสำรอง ที่น้อยลงนี้ทำให้กำไรดูดีขึ้นเพียงชั่วคราว ก็ถือเป็น ความเสี่ยง ที่ต้องระวัง
2. รายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ย (Non-Interest Income) พุ่งสูง
อีกแหล่งกำไรที่สำคัญคือ รายได้ที่มาจากการลงทุนหรือค่าธรรมเนียม ซึ่งส่วนใหญ่เป็นรายการที่ “ไม่สม่ำเสมอ” (unsustainable)
- KTB มีรายการ “รายได้จากการดำเนินงานอื่น” เพิ่มขึ้นถึง 5,000 ล้านบาท เมื่อเจาะลึกพบว่าเกือบ 5,000 ล้านบาทนี้มาจาก กำไรขาดทุนจากเครื่องมือทางการเงินที่วัดมูลค่าด้วยมูลค่ายุติธรรม (การขายสินทรัพย์ลงทุน) ซึ่งรายการเหล่านี้ขึ้นอยู่กับสภาวะตลาดการลงทุน และเมื่อดูข้อมูล 9 เดือน พบว่ากำไรจากการลงทุนพุ่งสูงขึ้นมากใน ไตรมาส 3 เพียงไตรมาสเดียว
- Krungsri มี รายได้ดอกเบี้ยสุทธิ ที่เติบโตขึ้นเล็กน้อย เพราะสามารถลด “ดอกเบี้ยจ่าย” ให้กับผู้ฝากเงินได้ถึง 35% แต่ปัจจัยหลักที่หนุนกำไรคือ “รายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ย” ที่โตขึ้นถึง 4,000 ล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่มาจากการลงทุนเช่นกัน
- KKP รายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ย โต 50% โดยเฉพาะรายการกำไรสุทธิจากเครื่องมือทางการเงินที่วัดมูลค่าด้วยมูลค่ายุติธรรม ซึ่งเพิ่มขึ้นถึง 1,000% (จาก 60 ล้านเป็น 660 ล้าน) ใน ไตรมาส 3 เพียงไตรมาสเดียว
อาจารย์ประพาส ได้ย้ำเตือนว่า ตัวเลขเหล่านี้ (กำไรจากการลงทุน) เป็นตัวเลขที่ไม่สม่ำเสมอและไม่ยั่งยืน การที่ธุรกิจหลัก อยู่ในทิศทางขาลง แต่ถูกโปะด้วยกำไรที่ไม่ยั่งยืนจากแหล่งอื่นนี้เอง คือ ความเสี่ยง ที่นักลงทุนที่คาดหวัง เงินปันผล อย่างสม่ำเสมอควรระวัง
นักลงทุนควรตระหนักว่า “The Devil is in the Detail” (ปีศาจร้ายอยู่ในรายละเอียด) การดูแค่กำไรสุทธิเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอ ต้องเข้าใจว่ากำไรที่เติบโตนั้นมาจากปัจจัยชั่วคราวหรือปัจจัยถาวร ซึ่งการแกะงบธนาคารนั้นมีความซับซ้อนสูงมาก โดยบางธนาคารมี MD&A (Management Discussion and Analysis) ยาวถึง 27-31 หน้า
Fund Flow เงินต่างชาติไหลเข้า สัญญาณขาขึ้นรอบใหม่ SET Index?
นอกจากประเด็น หุ้นธนาคาร แล้ว อีกหนึ่งหัวข้อที่น่าสนใจและถูกพูดถึงโดย อาจารย์ประพาส และ เบิร์ด จากช่อง ลงทุนกล้วยๆ คือ กระแสเงินทุนต่างชาติ (Fund Flow)
บทบาท Fund Flow ต่างชาติ ในตลาดหุ้นไทย
นักลงทุนใน ตลาดหุ้นไทย แบ่งออกเป็น 4 ประเภท ซึ่งนักลงทุนต่างประเทศและนักลงทุนในประเทศ (รายย่อย) เป็นกลุ่มที่มีมูลค่าซื้อขายสะสมมากที่สุด
- มูลค่าซื้อขายสะสมของนักลงทุนต่างประเทศสูงถึง 4 ล้านล้านบาทในปีนี้
- มูลค่าซื้อขายสะสมของนักลงทุนรายย่อยไทยอยู่ที่ 2.6 ล้านล้านบาท
เนื่องจากเม็ดเงินของนักลงทุนต่างชาติมีขนาดใหญ่ที่สุด การที่พวกเขาซื้อสุทธิ ( เงินไหลเข้า ) ย่อมส่งผลให้ตลาดคึกคักและปรับตัวสูงขึ้น
อย่างไรก็ตาม ตลอดทั้งปีนี้ (มกราคมถึงตุลาคม) ต่างชาติยังคง ขายสุทธิ ออกจาก ตลาดหุ้นไทย ไปเกือบ 1 แสนล้านบาท โดยมีเพียงช่วงเดือนกรกฎาคมเท่านั้นที่มีการซื้อสุทธิอย่างมีนัยสำคัญ
ความสัมพันธ์ระหว่าง Fund Flow ต่างชาติ กับ SET Index
จากสถิติที่ผ่านมา การซื้อสุทธิของต่างชาติมีผลกระทบอย่างชัดเจนต่อดัชนี SET Index
- เหตุการณ์กรกฎาคม ต่างชาติซื้อสุทธิในเดือนกรกฎาคม ทำให้ SET Index ปรับตัวขึ้นจากจุดต่ำสุด (ประมาณ 1,050 จุด) พุ่งขึ้นไปถึง 1,300 กว่าจุด หรือเพิ่มขึ้นกว่า 250 จุด
- สัญญาณล่าสุด ในสัปดาห์ที่ผ่านมา (วันที่ 20-22 ตุลาคม) ต่างชาติเริ่มกลับมาซื้อสุทธิรัว ๆ ติดต่อกัน ทำให้ SET Index ปรับตัวขึ้นมาประมาณ 30 จุด ภายใน 3 วัน
อาจารย์ประพาส ตั้งข้อสังเกตว่า การซื้อ 3 วันติดต่อกันนี้เป็นการเริ่มต้นที่สำคัญ และอาจเป็นไปได้ว่านี่คือ “ขาขึ้นรอบใหม่” ที่จะคล้ายกับปรากฏการณ์ในเดือนกรกฎาคม คือ มีการซื้ออย่างต่อเนื่องเป็นเดือน ซึ่งอาจทำให้ SET Index ปรับขึ้นได้อีก 100-200 จุด
โดยธรรมชาติแล้ว ต่างชาติส่วนใหญ่มักมีกรอบการลงทุนที่กำหนดให้ซื้อได้เฉพาะหุ้นขนาดใหญ่ (Set 50, Set 100) เท่านั้น ดังนั้นเมื่อ เงินต่างชาติไหลเข้า หุ้นใหญ่เหล่านี้จึงได้รับประโยชน์และราคาปรับตัวขึ้น
ทำไม Fund Flow เลือกเข้าตลาดหุ้นไทย? 2 ปัจจัยดึงดูดหลัก
อาจารย์ประพาส ได้วิเคราะห์ปัจจัยหลักที่ดึงดูด เงินต่างชาติ ให้กลับมาที่ ตลาดหุ้นไทย ในช่วงนี้ มี 2 สาเหตุหลัก
1. ค่าเงินบาทแข็งค่า (Currency Gain) ดึงดูด Fund Flow
เมื่อค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลง นักลงทุนต่างชาติที่เก็บเงินไว้ในอเมริกาจึงต้องการนำเงินออกนอกประเทศ และเมื่อนำเงินดอลลาร์มาแลกเป็นเงินบาทเพื่อซื้อหุ้นไทย พวกเขาจะได้ประโยชน์ถึง 2 ต่อ
- กำไรจากราคาหุ้น (Price Gain) การซื้อหุ้นไทยทำให้ราคาหุ้นขึ้น
- กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน (Currency Gain) การที่ เงินไหลเข้า ไทยทำให้เงินบาทแข็งค่าขึ้น และเมื่อพวกเขาขายหุ้นและแลกกลับเป็นดอลลาร์ จะได้รับเงินดอลลาร์ที่เพิ่มขึ้น (ได้กำไรจากส่วนต่างค่าเงิน) ปัจจุบันเงินบาทไทยถูกจัดว่าเป็นหนึ่งในสกุลเงินที่แข็งค่าขึ้นเร็วที่สุดในโลกในช่วงที่ผ่านมา
2. Valuation ตลาดหุ้นไทย ที่ “ฐานต่ำ” (Laggard Market)
เมื่อเทียบกับตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชีย (เช่น เวียดนาม อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์) ตลาดหุ้นไทย ถูกมองว่าเป็นตลาดที่ “Laggard ที่สุด” เนื่องจาก SET Index ส่วนใหญ่มีแต่ปรับตัวลงในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา
นักลงทุนเชื่อในหลักการที่ว่า “น้ำไหลจากที่สูงลงสู่ที่ต่ำ ฉันใด เงินก็ไหลจากผลตอบแทนที่ต่ำไปสู่ผลตอบแทนที่สูง ฉันนั้น” การที่ราคาหุ้นไทยอยู่ในฐานที่ต่ำหรือราคาถูก (โดยเฉพาะหุ้นรายตัว) ย่อมเปิดโอกาสให้มีผลตอบแทนสูงขึ้นได้เมื่อมีการลากราคา
อาจารย์ประพาส ยังได้ให้ความเห็นเพิ่มเติมว่า การประเมินมูลค่าหุ้นโดยรวมของประเทศ (PE ประเทศ) อาจไม่แม่นยำนัก เพราะบางอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ (เช่น อสังหาริมทรัพย์) ที่มีกำไรลดลงมาก แต่ราคาหุ้นลดลงน้อย อาจทำให้ค่าเฉลี่ย PE ทั้งประเทศดูสูงผิดปกติ ในขณะที่หุ้นรายตัวที่มีพื้นฐานแข็งแกร่งบางตัวกลับมี PE ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดมาก เช่น CP หรือ HomePro ในปัจจุบัน
สรุปข้อคิดการลงทุน หุ้นธนาคาร และ Fund Flow จากอาจารย์ประพาส
การวิเคราะห์ผลประกอบการของ หุ้นธนาคาร และการไหลเข้าของ เงินต่างชาติ แสดงให้เห็นถึงความจำเป็นที่นักลงทุนต้องเข้าถึงรายละเอียดเชิงลึกเสมอ
เบิร์ด จากช่อง ลงทุนกล้วยๆ สรุปว่า กำไรของ หุ้นธนาคาร ที่ประกาศใน ไตรมาส 3 นั้น เป็นบวกกันเกือบทั้งหมด แต่รายได้หลัก (ดอกเบี้ยสุทธิ) กลับลดลง การเติบโตของกำไรจึงมาจากปัจจัยพิเศษ เช่น การลด ตั้งสำรอง (ECL), กำไรจากการลงทุน (Non-Interest Income), หรือการลดดอกเบี้ยจ่ายเงินฝาก หากแนวโน้มดอกเบี้ยยังคงเป็นขาลง รายได้หลักก็จะยังคงลดลงต่อไป และคำถามที่ท้าทายคือ ปัจจัยชดเชยที่ไม่ยั่งยืนเหล่านี้จะสามารถชดเชยการลดลงของรายได้หลักได้นานแค่ไหน
อาจารย์ประพาส ย้ำเตือนให้พวกเราลงทุนอย่างมีสติและมีความรู้มากพอ ไม่ควรดูเพียงแค่กำไรสุทธิเท่านั้น แต่ต้องลงลึกในรายละเอียดของงบการเงินเพื่อให้เข้าใจว่ากำไรนั้นมาจากปัจจัยชั่วคราวหรือถาวร ซึ่งเป็นปรัชญาสำคัญที่จะช่วยให้นักลงทุน “รอด ปลอดภัย 100%” ในการลงทุน และหลีกเลี่ยงการเป็นหนึ่งในสถิติของนักลงทุนในไทยส่วนใหญ่ที่ขาดทุนถึง 80-90%
ไม่ว่าจะเป็นการเลือกหุ้นเติบโต (Growth Stock) ที่ต้องทำเนื้อหาอย่างเต็มรูปแบบในคอร์ส VI TURN PRO หรือการเลือกหุ้น ปันผล (Dividend Stock) ที่เน้นความสม่ำเสมอและ ความเสี่ยง ต่ำในคอร์ส Super Dividend การลงทุนที่ประสบความสำเร็จล้วนต้องอาศัยการอุทิศตนเพื่อทำความเข้าใจในรายละเอียดของธุรกิจที่เรากำลังเป็น “เจ้าของ”

