สวัสดีครับทุกท่านที่สนใจในการลงทุนและการวิเคราะห์ตลาด! ในวันนี้ อาจารย์ประพาสและเบิร์ด จากช่องลงทุนกล้วยๆ จะพาทุกท่านมาเจาะลึกถึงประเด็นร้อนที่กำลังถูกจับตามองอย่างมาก นั่นคือ “เงินต่างชาติไหลเข้าไทย” จุดเริ่มต้นของตลาดหุ้นขาขึ้นรอบใหม่หรือไม่?”
การวิเคราะห์สถานการณ์ฟันด์โฟลว์ (Fund Flow) หรือกระแสเงินลงทุนที่ไหลเข้าและไหลออกจากตลาดหลักทรัพย์ เป็นกุญแจสำคัญในการทำความเข้าใจทิศทางของตลาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพิจารณาถึงผู้เล่นรายใหญ่ที่มีอิทธิพลต่อสภาพคล่องและราคาหุ้นในประเทศเรา
ก่อนอื่น เรามาดูสถิติสำคัญที่แสดงให้เห็นถึงความใหญ่โตของเม็ดเงินจากต่างชาติ นักลงทุนในตลาดหุ้นไทยแบ่งออกเป็น 4 ประเภทหลัก คือ สถาบันในประเทศ, บัญชีบริษัทหลักทรัพย์ (โบรกเกอร์), นักลงทุนต่างประเทศ, และนักลงทุนในประเทศ (รายย่อย)
จากการรวบรวมข้อมูลตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม ถึง 22 ตุลาคม (เกือบตลอดทั้งปี) จะเห็นได้ชัดว่ากลุ่มนักลงทุนที่มีมูลค่าการซื้อขายสะสม (ทั้งซื้อและขาย) ใหญ่ที่สุดคือ นักลงทุนต่างประเทศ
เม็ดเงินของนักลงทุนต่างชาติมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะตัวเลขการซื้อขายของพวกเขาบ่งบอกถึงสภาวะของตลาดได้ในวงกว้าง ถ้าหากกลุ่มที่มีเงินมากที่สุดนี้ตัดสินใจขายสุทธิอย่างต่อเนื่อง โอกาสที่ตลาดจะปรับตัวขึ้นย่อมเป็นไปได้ยาก
ลองพิจารณาปริมาณเงินที่หมุนเวียนในปีนี้
การไหลเข้าของเงินที่เป็นบวก (ซื้อสุทธิ) ย่อมทำให้ตลาดคึกคักมากขึ้น เพราะมันหมายถึงมีคำสั่งซื้อที่พร้อมจะดูดซับหุ้นในตลาด
แม้ว่ามูลค่าการซื้อขายจะมหาศาล แต่ภาพรวมตลอดปี 2566 (ถึงวันที่ 22 ตุลาคม) นักลงทุนต่างชาติยังคงอยู่ในสถานะ ขายสุทธิเกือบแสนล้านบาท และมีเพียงนักลงทุนรายย่อยในประเทศเท่านั้นที่ยังคงเก็บสะสมหุ้นอยู่
อย่างไรก็ตาม ประเด็นร้อนที่เรากำลังจับตามองคือการเปลี่ยนแปลงในช่วงสั้น ในเดือนตุลาคมที่ผ่านมา แม้ว่าภาพสะสมรายเดือน ฝรั่งจะยังขายสุทธิ (เหลือเพียง 1,500 ล้านบาท) แต่ในช่วงไม่กี่วันล่าสุดก่อนการวิเคราะห์นี้ คือ วันจันทร์ อังคาร และพุธ ต่างชาติได้กลับมาซื้อสุทธิรัว ๆ
หากย้อนดูสถิติกราฟย้อนหลัง 1 ปี จะเห็นว่าตลอดเดือนตุลาคมที่ผ่านมานั้นต่างชาติขายมาโดยตลอด มีเพียงเดือนเดียวที่ซื้อคือเดือนกรกฎาคม และการซื้อติดต่อกันสามวันล่าสุดนี้เป็นสัญญาณที่ ‘Early’ หรือเร็วมากที่เราต้องจับตามอง
การซื้อสุทธิของต่างชาติมีผลกระทบที่ชัดเจนต่อดัชนีตลาดหลักทรัพย์ (SET) เราสามารถเห็นภาพนี้ได้อย่างชัดเจนในช่วงเดือนกรกฎาคม
ในช่วงเดือนกรกฎาคม (ซึ่งเป็นเดือนเดียวที่ฝรั่งซื้อสุทธิ) ดัชนี SET ได้มีการปรับตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว ดัชนีจากจุดต่ำสุด (Bottom) ที่ประมาณ 1,050 จุด ได้ทะยานขึ้นไปแตะระดับ 1,280 จุด จนถึง 1,300 กว่าจุด เรียกได้ว่าขึ้นมารวดเดียวอย่างน้อย 200 จุด จากการที่ฝรั่งกลับมาซื้อ
และสำหรับช่วง 3 วันล่าสุดที่ฝรั่งเริ่มกลับมาซื้อ (จันทร์-พุธ) ดัชนี SET ก็ตอบสนองทันที วันจันทร์ SET ต่ำสุดอยู่ที่ประมาณ 1,280 จุด แต่เมื่อวานนี้ (วันพุธ) สูงสุดอยู่ที่ประมาณ 1,310 จุด นั่นหมายความว่า SET ได้ปรับตัวขึ้นมาประมาณ 30 จุด ในเวลาเพียง 3 วัน
แม้ว่าสัญญาณนี้จะเพิ่งเริ่มต้น (แค่ 2-3 แท่งเทียน) แต่นี่คือเหตุผลที่เราต้องตั้งคำถามว่า “หรือนี่จะเป็นขาขึ้นรอบใหม่? ที่อาจดำเนินไปเหมือนรอบเดือนกรกฎาคม ซึ่งต่างชาติซื้อต่อเนื่องเป็นเดือน ทำให้ตลาดขึ้นอย่างเป็นพาเหรด
เมื่อต่างชาติกลับมาซื้อ เราควรสนใจหรือไม่ว่าพวกเขาซื้อหุ้นตัวไหน? คำตอบคือดูได้ และสามารถคาดการณ์ได้ง่าย
ต่างชาติส่วนใหญ่มักมีเงื่อนไขการลงทุน กองทุนหรือนักลงทุนต่างชาติขนาดใหญ่มักจะสามารถซื้อได้เฉพาะหุ้นขนาดใหญ่เท่านั้น เงินทุนส่วนใหญ่ของพวกเขาจึงมีกรอบจำกัดให้อยู่ในกลุ่ม SET50 และ SET100 เป็นหลัก
เราสามารถเปรียบเทียบกับตลาดรองอย่าง MAI ได้ ในขณะที่ต่างชาติซื้อ SET ในปริมาณ 4 ล้านล้านบาท แต่พวกเขาซื้อ MAI เพียง 14,000 บาทเท่านั้น ในขณะที่รายย่อยซื้อ MAI ถึง 100,000 บาท นี่แสดงให้เห็นว่าเม็ดเงินของต่างชาติกระจายตัวในหุ้นใหญ่เป็นหลัก
ดังนั้น หากเราต้องการทราบว่าหุ้นตัวไหนได้รับความสนใจ ก็สามารถไปดูหุ้นใหญ่ที่มูลค่าการซื้อขายเป็น NVDR (Non-Voting Depositary Receipt) ซึ่งเป็นช่องทางที่ต่างชาติใช้ซื้อหุ้นได้ หุ้นบางตัวที่บวกแรงในวันจันทร์ ก็เป็นหุ้นที่ต่างชาติซื้อเยอะมาก และติดท็อปไฟฟ์ของตลาดหุ้นไทย
เหตุผลที่ทำให้เงินต่างชาติกลับมาลงทุนในช่วงนี้มีหลายปัจจัย ทั้งปัจจัยมหภาคและปัจจัยเฉพาะเจาะจงในประเทศ
สาเหตุหลักข้อหนึ่งคือการที่ เงินดอลลาร์อ่อนค่าลง เนื่องมาจากปัญหาทางเศรษฐกิจเล็กน้อยในสหรัฐฯ และปัญหาภายนอกประเทศ เมื่อดอลลาร์อ่อนค่าลง นักลงทุนจึงลดการถือครองดอลลาร์และหันไปถือครองสินทรัพย์อื่น เช่น ทองคำ หรือย้ายเงินไปยังประเทศอื่น
หากเงินยังอยู่ในอเมริกา แม้จะได้กำไร 10% จากการลงทุน แต่ถ้าค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลง 10% เท่ากับว่ากำไรส่วนนั้นอาจจะเจ๊าไป ดังนั้น การนำเงินออกจากอเมริกาเมื่อค่าเงินมีแนวโน้มอ่อนค่าย่อมเป็นทางเลือกที่ดีกว่า
และเมื่อเงินนั้นไหลเข้ามาในประเทศไทย ก็เกิดปรากฏการณ์สำคัญ เงินบาทไทยแข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็ว ในช่วง 1-2 เดือนที่ผ่านมา เงินบาทไทยแข็งค่าเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก
การที่เงินบาทแข็งค่าขึ้นเป็นผลจากกลไกทางเศรษฐศาสตร์ คือ มีอุปสงค์ (Demand) ในการต้องการเงินบาทสูงขึ้น ในขณะที่อุปสงค์ในเงินดอลลาร์ลดลง และความต้องการเงินบาทนั้นสูงกว่าประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาค ทำให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นเร็วกว่าปกติ
สำหรับนักลงทุนต่างชาติ การนำเงินเข้ามาลงทุนในช่วงนี้จึงมีโอกาสในการทำกำไรถึงสองทาง
กำไรช่องทางที่ 1 กำไรจากราคาหุ้น (Gap ราคา) เมื่อฝรั่งมาซื้อหุ้นไทยในปริมาณมาก ย่อมลากให้ราคาหุ้นขึ้นไปได้ ทำให้พวกเขามีกำไรส่วนหนึ่งจากราคาหุ้นที่ปรับตัวสูงขึ้น
กำไรช่องทางที่ 2 กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน (Gap ค่าเงิน) เมื่อค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นเรื่อย ๆ ในขณะที่ดอลลาร์อ่อนค่าลง เมื่อถึงเวลาที่นักลงทุนต่างชาติขายหุ้นทำกำไรแล้วนำเงินบาทไปแลกกลับเป็นดอลลาร์ พวกเขาจะได้รับเงินดอลลาร์ในปริมาณที่เพิ่มขึ้นจากกำไรค่าเงิน
นี่คือผลลัพธ์ที่เป็นไปตามหลักการทางทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ว่าด้วยการเงินระหว่างประเทศ ซึ่งเป็นเหตุผลที่ทำให้การลงทุนในตลาดที่ค่าเงินมีแนวโน้มแข็งค่าในช่วงที่ดอลลาร์มีปัญหาจึงมีความน่าสนใจเป็นพิเศษ อาจารย์ประพาสตั้งข้อสังเกตว่าด้วยโอกาสทำกำไรสองต่อนี้น่าจะทำให้ต่างชาติไม่ซื้อแค่ 2-3 วัน แต่อาจซื้อต่อเนื่องเหมือนที่เคยเกิดขึ้นในเดือนกรกฎาคม
นอกจากปัจจัยมหภาคแล้ว สาเหตุที่เงินทุนอาจเจาะจงมาที่หุ้นไทยโดยเฉพาะก็เป็นเพราะปัจจัยภายในตลาดเอง
เมื่อเปรียบเทียบกับตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชีย เช่น อินโดนีเซีย มาเลเซีย เวียดนาม จีน หรือฟิลิปปินส์ พบว่า หุ้นไทยถือเป็นตลาดที่ “Laggard” (ล้าหลัง) ที่สุด ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ตลาดหุ้นไทยมีแต่การปรับตัวลงอย่างเดียว ในขณะที่หลายประเทศข้างต้นมีดัชนีที่เป็นบวกในปีนี้แล้ว
หลักการธรรมชาติเปรียบเสมือนน้ำที่ไหลจากที่สูงลงสู่ที่ต่ำฉันใด เงินทุนก็ไหลจากผลตอบแทนต่ำไปยังผลตอบแทนสูงฉันนั้น ผลตอบแทนที่สูงมีโอกาสเกิดจากหุ้นที่อยู่ในฐานที่ต่ำ หรือมีราคาที่ถูก การที่ฐานราคาหุ้นต่ำ ย่อมมีโอกาสในการลากราคาให้ขึ้นได้จริง
ดังนั้น สถานะ Laggard ของหุ้นไทย เมื่อเทียบกับภูมิภาคจึงเป็นหนึ่งในปัจจัยหลักที่ดึงดูดนักลงทุนต่างชาติที่มองหาหุ้นราคาถูกหรือมีโอกาสฟื้นตัวสูง
อย่างไรก็ตาม การประเมินมูลค่า (Valuation) ของตลาดหุ้นไทยมักถูกมองว่าไม่ถูกนักเมื่อเทียบกับภูมิภาค หากพิจารณาจากค่าเฉลี่ย P/E ของประเทศ (PE ประเทศ) ซึ่ง P/E ประเทศคำนวณจากการนำดัชนีตั้ง หารด้วยกำไรรวมถัวเฉลี่ยของทุกบริษัท
อาจารย์ประพาสไม่ค่อยเห็นด้วยกับการใช้ PE ประเทศมากนัก เพราะมันอาจไม่สะท้อนมูลค่าที่แท้จริงของหุ้นรายตัว
ปัญหาของ PE ประเทศคืออะไร?
นอกจากนี้ การเปรียบเทียบ P/E ประเทศกับประเทศอื่น ๆ เช่น สหรัฐอเมริกา ก็ทำได้ยาก เนื่องจากโครงสร้างของตลาดแตกต่างกัน ตลาดสหรัฐฯ เน้นหุ้นเทคโนโลยี (เช่น Google, Tesla, Nvidia) ที่มีศักยภาพในการเติบโตทั่วโลก ซึ่งปกติแล้ว P/E ย่อมต้องสูง แต่ตลาดไทยเน้นผู้ผลิต การค้า และกลุ่มท่องเที่ยว การเปรียบเทียบ P/E โดยตรงจึงไม่เหมาะสมนัก
การวิเคราะห์ที่ลึกซึ้งนี้ชี้ให้เห็นว่า แม้ภาพรวมของอุตสาหกรรมอสังหาฯ จะดูไม่ดีและขาดทุนในปีนี้ แต่ก็อาจมีโอกาสซ่อนอยู่ ต้องพยายามมองลึก ๆ ในรายละเอียด แทนที่จะมองภาพรวมกลไกการเอาตัวรอดของบริษัทอสังหาฯ ไทย
บริษัทอสังหาฯ ไทยส่วนใหญ่มักจะใช้กลยุทธ์ จำศีล” (Hibernation) เมื่อเศรษฐกิจไม่ดี โดยทั่วไปแล้ว บริษัทเหล่านี้จะไม่ค่อยประสบปัญหาล้มละลาย เพราะธุรกิจของพวกเขาพึ่งพาเงินกู้เป็นหลักที่ได้จากการนำยอดจอง (Pre-sale) ของลูกค้าไปขอสินเชื่อจากธนาคาร
เมื่อเจอภาวะตลาดไม่ดี วิธีการรับมือคือ
การใช้กลยุทธ์นี้ทำให้พวกเขาสามารถรอคอยสภาวะตลาดที่ฟื้นตัว ก่อนที่จะกลับมาเปิดตัวโครงการใหม่และกู้เงินใหม่อีกครั้ง นี่คือเหตุผลที่อสังหาฯ ส่วนใหญ่ไม่ค่อยเจ๊ง ยกเว้นรายที่กู้หนักเกินตัว
ดังนั้น สำหรับนักลงทุนที่มองหาโอกาสในหุ้นที่มีฐานต่ำ การที่ราคาหุ้นอสังหาริมทรัพย์ได้ปรับตัวลดลงมาอย่างรุนแรง (70%-80%) จึงอาจเป็นจังหวะในการลงทุนในหุ้นเหล่านี้ โดยเน้นการพิจารณาบริษัทที่ใช้เงินสดเยอะกว่าเงินกู้ หรือมีเงินกู้น้อยกว่าเจ้าอื่น ๆ
สัญญาณการกลับมาซื้อสุทธิของนักลงทุนต่างชาติในช่วง 3 วันล่าสุด ถือเป็นจุดที่น่าสนใจอย่างยิ่ง แม้จะยังเป็นช่วงแรก (Early Stage) แต่การสนับสนุนจากปัจจัยมหภาค (ดอลลาร์อ่อนค่า/บาทแข็งค่า) และความน่าดึงดูดด้านราคาของตลาดหุ้นไทยที่ถือเป็น Laggard ในภูมิภาค ย่อมเป็นเหตุผลที่ทำให้คาดการณ์ได้ว่าต่างชาติอาจจะยังคงซื้อสุทธิต่อเนื่องไปอีกระยะหนึ่ง ซึ่งอาจส่งผลให้ดัชนี SET มีโอกาสปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง 100-200 จุด ดังเช่นที่เคยเกิดขึ้นในเดือนกรกฎาคม
อย่างไรก็ตาม นี่เป็นเพียงข้อสังเกตและแนวคิดที่ตั้งขึ้นร่วมกัน นักลงทุนจึงควรติดตามกระแสเงินทุนนี้อย่างใกล้ชิดและพิจารณาการลงทุนในหุ้นรายตัวอย่างละเอียด โดยเฉพาะในกลุ่มหุ้นใหญ่ (SET 50/SET 100) ที่มีปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่งและถูกมองว่ามีราคาที่น่าสนใจ