Hot Topic! CFO ในตลาดหุ้น ทำอะไรบ้าง สำคัญยังไง? | Hot Topic EP.16
CFO คือใคร? และทำไมสำคัญต่อนักลงทุน
ในยุคที่ตลาดหุ้นเต็มไปด้วยข้อมูลข่าวสารและความผันผวน นักลงทุน จำนวนมากมักพุ่งความสนใจไปที่ตำแหน่ง “CEO” (Chief Executive Officer) ในฐานะผู้นำสูงสุดและผู้กำหนดทิศทางของบริษัท แต่รู้หรือไม่ว่าบุคคลสำคัญที่กุมข้อมูลทางการเงินทั้งหมดและเปรียบเสมือน “ห้องเครื่อง” ที่แท้จริงของบริษัทคือ “CFO” (Chief Financial Officer)
บทความนี้จะพาไปเจาะลึก หน้าที่ของ CFO อย่างละเอียด ผ่านตัวละคร “เสี่ยว หยู” จากซีรีส์ไทยสุดฮิต “สงครามส่งด่วน” (Mad Unicorn) พร้อมกรณีศึกษาจากบริษัทจริงในตลาดหุ้นไทย เพื่อให้คุณเข้าใจว่าทำไม CFO ถึงเป็นบุคคลที่ นักลงทุน ผู้มีประสบการณ์ให้ความสำคัญอย่างยิ่ง
CFO vs. CEO ต่างกันอย่างไร?
การจะ วิเคราะห์หุ้น ให้ขาด เราต้องเข้าใจความแตกต่างของบทบาทและมุมมองของสองตำแหน่งนี้ก่อน
เพราะเป็นเหมือนหยินกับหยางที่คอยถ่วงดุลกันและกัน
- CEO (Chief Executive Officer) คือ “นักฝัน” และ “สถาปนิกแห่งวิสัยทัศน์” เป็นกัปตันเรือที่กำหนดทิศทาง มุ่งมั่นผลักดันบริษัทไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง CEO มีหน้าที่สร้างแรงบันดาลใจและขาย “ความฝัน” ของบริษัทให้แก่นักลงทุน, พนักงาน, และสาธารณชนเชื่อมั่น พวกเขามักจะมีความกล้าได้กล้าเสีย (High Risk) เพื่อแสวงหาการเติบโตแบบก้าวกระโดด แต่บ่อยครั้งอาจไม่ได้ลงลึกในรายละเอียดตัวเลขทางการเงินที่ซับซ้อน
- CFO (Chief Financial Officer) คือ “นักปฏิบัติ” และ “วิศวกรแห่งความจริง” เป็นผู้ที่ทำงานอยู่หลังบ้าน คอยดูแลให้เครื่องยนต์ไม่ดับและมีเชื้อเพลิงเพียงพอ CFO ทำงานบนฐานของข้อมูลที่เป็นรูปธรรม (Data-Driven) เป็นผู้กุมตัวเลขและ งบการเงิน ทั้งหมดของบริษัท เปรียบเสมือน “เงาของ CEO” ที่นำความฝันมาตรวจสอบกับความเป็นจริงในงบดุล ด้วยธรรมชาติของตำแหน่ง CFO จึงมักมีความรอบคอบ (Conservative) และทำหน้าที่เป็นทั้ง “ผ้าเบรก” เพื่อป้องกันความเสี่ยง และ “คันเร่ง” เมื่อเห็นโอกาสที่เหมาะสม
CFO ทำอะไรบ้าง? เจาะลึก 5 หน้าที่หลัก
1. การศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการ (Feasibility Study)
นี่คือจุดเริ่มต้นที่สำคัญที่สุด เปรียบเสมือนการวางรากฐานของอาคาร หน้าที่ของ CFO คือการนำ “ความฝัน” ของ CEO มาแปลงเป็น “ตัวเลข” ที่จับต้องได้ เพื่อตอบคำถามสำคัญที่จะชี้ชะตาโครงการนั้นๆ
- งบประมาณที่ต้องใช้ (Investment) โปรเจกต์นี้ต้องใช้เงินลงทุนเท่าไหร่กันแน่?
- แหล่งที่มาของเงินทุน (Funding) เงินทุนก้อนนี้จะมาจากไหน? กระแสเงินสด ของบริษัท, เงินกู้, หรือการเพิ่มทุน?
- ผลตอบแทน (ROI) ลงทุนไปแล้วจะคุ้มค่าหรือไม่? คาดว่าจะถึง จุดคุ้มทุน (Break-Even Point) เมื่อไหร่ และมี ระยะเวลาคืนทุน (Payback Period) นานแค่ไหน?
การทำ Feasibility ที่ดีจะช่วยป้องกันการลงทุนที่ “ตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ” และทำให้มั่นใจว่าทุกบาททุกสตางค์ของบริษัทถูกใช้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด
ตัวอย่างจากซีรีส์ “สงครามส่งด่วน” (Mad Unicorn)
เราจะเห็นบทบาทนี้ชัดเจนจากตัวละคร “เสี่ยว หยู” ที่เป็น CFO ของบริษัทร่วมทุนจากจีน เธอจะตรวจสอบข้อมูลการตลาดของธุรกิจขนส่งอย่างละเอียด เพื่อประเมินความเป็นไปได้ก่อนตัดสินใจลงทุน ไม่ได้เชื่อแค่ข้อมูลที่ฝั่งพระเอกนำเสนอเท่านั้น
ตัวอย่างจริงจากตลาดหุ้น กรณีศึกษาโรงพยาบาลเอกชัย (EKH)
ในคลิปได้ยกตัวอย่างที่ชัดเจนมาก เมื่อ EKH มีแผนจะขยายโรงพยาบาลเฉพาะทาง (เช่น โรงพยาบาลจิตเวช, Palliative Care) CFO จะเป็นผู้ที่นำข้อมูลจากโรงพยาบาลอื่นมาเปรียบเทียบคำนวณรายได้ต่อเตียง เพื่อประเมินจุดคุ้มทุน (Break Event) ซึ่งมักจะตั้งไว้อย่างรอบคอบ (Conservative) เช่น วางแผนไว้ 2 ปี แต่ในความเป็นจริงทำได้ใน 10 เดือน นอกจากนี้ ยังมีกรณีการสร้างอาคารใหม่บนที่จอดรถเดิม CFO มองเห็นปัญหาค่าใช้จ่ายในการสร้างอาคารจอดรถใหม่ที่สูงมาก จึงไปเจรจาเช่าพื้นที่จอดรถของห้างสรรพสินค้าใกล้เคียงสำหรับพนักงานในวันธรรมดา ซึ่งช่วยให้โรงพยาบาลประหยัดเงินลงทุนไปได้มหาศาล แสดงให้เห็นถึงวิสัยทัศน์ในการบริหารต้นทุนอย่างยอดเยี่ยม
2. การระดมทุนธุรกิจ (Fundraising)
เมื่อแผนผ่านการประเมินแล้ว CFO จะมีหน้าที่หาแหล่งเงินทุนที่เหมาะสมที่สุดสำหรับบริษัท ไม่ว่าจะเป็น เงินกู้จากธนาคาร, การออกหุ้นกู้ (Debenture), การเสนอขายหุ้นแก่ประชาชนครั้งแรก (IPO), หรือการหานายทุนและนักลงทุนรายใหญ่ CFO คือคนที่เตรียมข้อมูลและนำเสนอแผนธุรกิจแก่นักลงทุนโดยตรง เพราะ Data ทั้งหมดอยู่ที่เขานั่นเอง ดังที่เห็นในซีรีส์ที่เสี่ยวหยูต้องเตรียมข้อมูลใน Excel และวิ่งไปหานักลงทุนถึงสนามบิน
3. การบริหารงบการเงินและกระแสเงินสด (Cash Flow Management)
กระแสเงินสด คืออะไร? มันคือ “ออกซิเจน” หรือ “เส้นเลือดใหญ่” ของธุรกิจ นี่คือหัวใจของ งบการเงิน ที่ CFO ต้องดูแลอย่างใกล้ชิดที่สุด บริษัทอาจมี “กำไรทางบัญชี” ที่สวยหรู แต่ถ้าไม่มีเงินสดจริงเข้ามาหมุนเวียน ก็เหมือนคนที่ขาดอากาศหายใจและสามารถล้มละลายได้ในที่สุด
กรณีศึกษา STARK
นี่คือตัวอย่างที่ชัดเจน แม้จะแสดงกำไรเติบโตสูงถึงปีละ 20% แต่ กระแสเงินสดจากการดำเนินงาน (OCF) กลับติดลบต่อเนื่อง สะท้อนว่าธุรกิจหลักไม่สามารถสร้างเงินสดได้จริง ทำให้ต้องกู้ยืมและเพิ่มทุนอยู่ตลอดเวลาเพื่อนำเงินมาหมุนเวียนในบริษัท จนท้ายที่สุดก็นำไปสู่ปัญหาใหญ่ บทเรียนนี้สอนให้นักลงทุนต้องมองให้ลึกกว่าบรรทัดสุดท้ายของงบกำไรขาดทุน
กรณีศึกษา DOHOME
เมื่อยอดขายไม่เป็นไปตามเป้าเพราะเศรษฐกิจไม่ดี CFO ได้เข้ามาบริหารจัดการเพื่อ “รีดกระแสเงินสด” ออกมาจากส่วนอื่น เช่น การลดสต็อกสินค้า (Inventory Days) เพื่อให้มีเงินสดไหลออกมาจากสต็อก และ การลดต้นทุนการลงทุนต่อสาขา (CapEx) โดยปรับปรุงการออกแบบ เช่น ลดความหนาของปูนในโซนที่ไม่ต้องรองรับรถหนัก หรือใช้เหล็กสเปกต่ำลงในโซนที่วางของเบา ซึ่งทำให้ต้นทุนต่อสาขาลดลงอย่างมีนัยสำคัญ
4. การร่วมตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ (Strategic Decision Making)
ด้วยข้อมูลการเงินที่ครบถ้วน CFO จึงมีบทบาทสำคัญในการตัดสินใจร่วมกับ CEO
- เป็นผู้ทัดทาน เมื่อเห็นว่าแผนของ CEO มีความเสี่ยงทางการเงินสูงเกินไป
- เป็นผู้ผลักดัน เมื่อข้อมูลชี้ว่าบริษัทมีความพร้อม มีความได้เปรียบคู่แข่ง และมีเงินสดเพียงพอที่จะเร่งการเติบโต
5. การดูแลเรื่องการซื้อและควบรวมกิจการ (M&A)
ในกระบวนการ M&A คืออะไร หรือการร่วมทุน (Joint Venture) ดังที่เห็นในซีรีส์ “สงครามส่งด่วน” ที่บริษัทแม่จากจีนส่ง CFO (เสี่ยวหยู) มาประเมินบริษัทในไทย CFO จะเป็นด่านสำคัญในการตรวจสอบสถานะทางการเงิน (Due Diligence) ของบริษัทเป้าหมาย เพื่อให้แน่ใจว่าการลงทุนนั้นคุ้มค่าและเป็นไปได้จริง ป้องกันความเสี่ยงจากการเข้าซื้อกิจการที่ดูดีแต่เปลือกนอก แต่ภายในอาจมีหนี้สินซ่อนอยู่
สรุป ทำไม CFO คือบุคคลสำคัญที่นักลงทุนต้องจับตา
การศึกษาและทำความเข้าใจ บทบาทและความสำคัญของ CFO จะช่วยให้นักลงทุนมองทะลุ “ความฝัน” ที่ CEO นำเสนอ และเห็นถึง “ความจริง” ที่ซ่อนอยู่ในตัวเลขทางการเงิน ดังนั้น ครั้งต่อไปที่คุณวิเคราะห์บริษัท ลองเปลี่ยนมุมมองจากการฟังวิสัยทัศน์ของ CEO เพียงอย่างเดียว มาเป็นการเจาะลึกคำอธิบายงบการเงินและมุมมองของ CFO ในรายงานประจำปีหรืองาน Opportunity Day เพราะบ่อยครั้ง เรื่องจริงทางการเงินที่สำคัญที่สุด ถูกเล่าผ่านมุมมองของคนๆ นี้นั่นเอง