เรียนสอบถามอาจารย์ประพาสเกี่ยวกับจำนวนหุ้นสามัญที่ใช้ในการกรอกลงใน Template
ข้อที่ 1 เหตุใดตามคลิปที่สอนใช้จำนวนหุ้นสามัญปีล่าสุด(ปัจจุบัน)แทนจำนวนหุ้นสามัญใน Template เป็นค่าตัวแทนของทุกปี แต่ไม่ใช้จำนวนหุ้นสามัญของแต่ละปีที่ได้จาก SETSMART เป็นตัวแทนครับ ซึ่งถ้าบริษัทไหนมีการเปลี่ยนแปลงจำนวนหุ้นสามัญ (เพิ่มทุน ในช่วงระยะเวลาที่เราพิจารณา) จะส่งผลทำให้ Book Value ที่คำนวณได้ทั้ง 2 กรณี มีความแตกต่างกัน และกระทบต่อ P/BV MOS ที่ได้ ไม่ทราบวิธีใดเหมาะสมกว่ากันเนื่องด้วยสาเหตุใดครับ
ข้อที่ 2 ในกรณีที่มีการปรับแปลี่ยนราคา par ยกกรณีตัวอย่างหุ้น DCC ตามไฟล์ที่แนบ จะต้องดำเนินการปรับแก้เพิ่มเติมอย่างไร(Adjusted) หรือไม่ เพื่อที่จะคำนวณหา Book Value ได้ถูกต้องก่อนจะนำไปคำนวณหาค่าเฉลี่ยตามวิธีการที่อาจารย์สอนครับ
รบกวนอาจารย์ช่วยตรวจสอบกรณีศึกษานี้ตามไฟล์แนบด้วยครับ ขอบคุณล่วงหน้าครับ
เรียนสอบถามอาจารย์ประพาสเกี่ยวกับจำนวนหุ้นสามัญที่ใช้ในการกรอกลงใน Template
ข้อที่ 1 เหตุใดตามคลิปที่สอนใช้จำนวนหุ้นสามัญปีล่าสุด(ปัจจุบัน)แทนจำนวนหุ้นสามัญใน Template เป็นค่าตัวแทนของทุกปี แต่ไม่ใช้จำนวนหุ้นสามัญของแต่ละปีที่ได้จาก SETSMART เป็นตัวแทนครับ ซึ่งถ้าบริษัทไหนมีการเปลี่ยนแปลงจำนวนหุ้นสามัญ (เพิ่มทุน ในช่วงระยะเวลาที่เราพิจารณา) จะส่งผลทำให้ Book Value ที่คำนวณได้ทั้ง 2 กรณี มีความแตกต่างกัน และกระทบต่อ P/BV MOS ที่ได้ ไม่ทราบวิธีใดเหมาะสมกว่ากันเนื่องด้วยสาเหตุใดครับ
ข้อที่ 2 ในกรณีที่มีการปรับแปลี่ยนราคา par ยกกรณีตัวอย่างหุ้น DCC ตามไฟล์ที่แนบ จะต้องดำเนินการปรับแก้เพิ่มเติมอย่างไร(Adjusted) หรือไม่ เพื่อที่จะคำนวณหา Book Value ได้ถูกต้องก่อนจะนำไปคำนวณหาค่าเฉลี่ยตามวิธีการที่อาจารย์สอนครับ
รบกวนอาจารย์ช่วยตรวจสอบกรณีศึกษานี้ตามไฟล์แนบด้วยครับ ขอบคุณล่วงหน้าครับ
1. เป็นข้อสังเกตที่ดีมากๆเลยครับ 🙂 ความจริงแล้วเราควรปรับจำนวนหุ้นให้เป็นไปตาม "ทุนจดทะเบียน" เป็นหลักครับ เหตุผลที่ในคลิปผมแนะนำให้เราใช้จำนวนหุ้นปีล่าสุด เป็นเพราะ
1.1 ทำ และเข้าใจได้ง่ายกว่าครับ การจะทำให้มือใหม่ส่วนใหญ่เข้าใจการทำ template แบบนี้เป็นเรื่องค่อนข้างท้าทายสำหรับคนสอนมากๆเลยครับ ><"
1.2 เราไม่สามารถใช้ตัวเลขจำนวนหุ้นที่ระบุไว้ใน set smart กรอกตามได้ตรงๆครับ มีประเด็นที่ยากขึ้นไปอีกขึ้นนึงครับ คือ สิ่งที่เป็นปัจจัยของจำนวนหุ้นที่ควรนำมาคำนวณนั้นมี 2 ประเด็นย่อยครับ
1.2.1 หากมีราคาพาร์ต่างกัน ข้อนี้ง่ายที่สุดครับ ให้ใช้ราคาพาร์ปัจจุบันเป็นตัวตั้ง แล้วทำให้จำนวนหุ้นในอดีตปรับเป็นพาร์เท่ากับปัจจุบันเท่านั้นครับ ซึ่งมักจะเกิดขึ้นตอนที่บริษัทมีการ แตกพาร์, ควบพาร์ ซึ่ง วิธีในข้อ 1 ก็จะสามารถทำได้โดยไม่มีปัญหาเลย
1.2.2 ตัวที่ยากจริงๆคือข้อนี้ครับ เราต้องพิจารณาด้วยครับว่าจำนวนหุ้นที่แตกต่างกันนั้น มีการเพิ่มทุนหรือไม่ หากมีการเพิ่มทุน เราต้องบันทึกจำนวนหุ้นตามจริงในปีนั้นๆครับ
1.3 จริงอยู่ครับ ที่ว่าการคำนวณเรื่องของ BV นั้นอาจจะคลาดเคลื่อนจากความจริง แต่หากเราทำตามขั้นตอนที่ผมได้สอนไปคือ
1.3.1 ตรวจสอบ MOS ที่หาได้
1.3.2 ตรวจสอบคุณภาพธุรกิจย้อนหลังว่า บริษัทได้มีเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงที่สำคัญต่อธุรกิจอย่างมากหรือไม่
1.3.3 หากมี เราควรเลือกช่วงเวลาที่ใช้วิเคราะห์ และคำนวณ MOS เฉพาะช่วงปีที่มีพื้นฐานเดียวกันเท่านั้น
หากทำตามขั้นตอนนี้แล้ว การกรอกจำนวนหุ้นที่แตกต่างกันก็ไม่จำเป็นมากครับ เนื่องจาก เมื่อไหร่ก็ตามที่บริษัทมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลที่สำคัญมากๆ เช่นการเพิ่มทุนในสัดส่วนเยอะๆ เป็นต้น ซึ่งบริษัทมักจะนำเงินเพิ่มทุนไปทำอะไรบางอย่างที่สำคัญมากๆ เช่น ซื้อกิจการใหม่, ขยายสาขาอย่างมาก เป็นต้น นั้น เราก็จำเป็นที่จะต้องเลือกช่วงเวลาในการคำนวณ MOS ให้อยู่ในกรอบเวลาหลังการเพิ่มทุนอยู่แล้ว จริงไหมครับ
ดังนั้น ระหว่างการอธิบายให้กับพวกเราทุกคนที่มีมือใหม่อยู่มากกว่า 80% เข้าใจเหตุผลที่แท้จริงของการกรอกจำนวนหุ้นที่ถูกต้องนั้น ผมเลยเลือกที่จะทำให้วิธีการง่ายขึ้นแทนครับ 🙂
2. ในเคสของ DCC พอดีว่าในไฟล์ที่ให้มาไม่ได้มี Par มาให้ด้วยนะครับ ผมเลยอาจจะไม่สามารถคอมเม้นท์ได้มากนัก แต่วิธีคิดคือ
2.1 ต้องทำให้เป็นฐาน Par เดียวกันก่อนเสมอครับ
2.2 บันทึกจำนวนหุ้นตามจริงในแต่ละปีครับ
ขอบคุณ 😀 อาจารย์มากครับ เดี๋ยวจะทำความเข้าใจและศึกษาเพิ่มเติมครับ