ตามหัวกระทู้เลยครับ เริ่มซื้อบ้านหลังแรก อายุเท่าไหร่ ตอนซื้อมี asset เท่าไหร่ หลาย 10 ล้านเลยมั้ยครับ ซื้อสดหรือผ่อน แล้วบ้านที่ซื้อหลังแรกกับบ้านตอนนี้เป็นบ้านหลังเดียวกันมั้ยครับ สอบถามประสบการณ์ครับ กำลังคิดวางแผนเรื่องซื้อบ้านพอดีครับ
ถ้าในมุมของความคุ้มค่า ผมมองว่าบ้านเป็นภาระ คือ นอกจากซื้อบ้านแล้ว ยังต้องมีค่าตกแต่งบ้าน กับภาระในการดูแลอีก
สมัยอยู่ตัวคนเดียว เช่าหอพักอยู่ สะดวกสบายสุดครับ ประหยัดด้วย เก็บเงินไว้ลงทุนได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย
แต่พอจะแต่งงาน บ้านก็เป็นสิ่งจำเป็น ผมเริ่มซื้อหลังแรกตอนอายุประมาณ 30 ซื้อสด
ซึ่งก็นับเป็นการตัดสินใจที่ไม่สมเหตุสมผลในแง่ที่ว่า ดอกเบี้ยเงินกู้ต่ำกว่าผลตอบแทนคาดหวังที่ได้จากการลงทุน แต่ก็เพราะทางบ้านไม่อยากให้เป็นหนี้
ผลพวงจากบ้านหลังแรก ทำให้พอร์ทไม่โตไปพักใหญ่เลยครับ
พอมาถึงหลังที่สอง(หลังจากขายหลังแรกไปได้แล้ว ในราคาขาดทุนนิดหน่อย) คราวนี้ดอกเบี้ยถูกกว่าเดิม กู้เต็มจำนวน
คำแนะนำของผม
1. ถ้าจะซื้อบ้าน เผื่อค่าตกแต่งไว้อีก 20%-40% ของราคาบ้าน
2. ปกติ ผมไม่ค่อยนิยมการซื้อบ้าน แต่เนื่องจากช่วงนี้ดอกเบี้ยถูกมาก ถ้าจะซื้อ ก็ไม่มีเหตุผลที่จะซื้อสดเลยครับ
3. ก่อนซื้อ เตรียมเครดิตของตัวเองให้ดี เพื่อที่จะได้เงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ ถ้าธนาคารเขามั่นใจว่าเราเป็นลูกหนี้ที่ความเสี่ยงต่ำ เขาก็พร้อมจะเสนออัตราดอกเบี้ยที่ดีให้เราครับ (ผมเพิ่งซื้อปีนี้ ได้ดอก 3 ปีแรก 2.4%ต่อปี ไม่ต้องทำประกัน จากการไปติดต่อมา 6 ธนาคาร ให้ธนาคารเขาแข่งกันเสนอเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ)
4. บ้านมือสอง เป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจครับ เพราะมักจะได้ราคาต่ำกว่า ขนาดใหญ่กว่า และอยู่ในทำเลที่ดีกว่าบ้านใหม่ ยิ่งถ้าหาบ้านที่เจ้าของอยากรีบขาย มักจะต่อรองส่วนลดได้มาก
5. บ้านที่ประมูลจากกรมบังคับคดี เป็นแหล่งซื้อบ้านที่อาจจะราคาถูกที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ครับ
"สิ่งที่ถูกต้องคือถูกต้อง แม้ไม่มีใครทำสิ่งนั้น
สิ่งที่ผิดคือสิ่งที่ผิด แม้ทุกคนทำสิ่งนั้น"
ตามหัวกระทู้เลยครับ เริ่มซื้อบ้านหลังแรก อายุเท่าไหร่ ตอนซื้อมี asset เท่าไหร่ หลาย 10 ล้านเลยมั้ยครับ ซื้อสดหรือผ่อน แล้วบ้านที่ซื้อหลังแรกกับบ้านตอนนี้เป็นบ้านหลังเดียวกันมั้ยครับ สอบถามประสบการณ์ครับ กำลังคิดวางแผนเรื่องซื้อบ้านพอดีครับ
ประเด็นแรก ส่วนตัวผมๆคิดว่าราคาอสังหาฯ นั้นมักขึ้นเร็วกว่า GDP ดังนั้นตามทฤษฎีในค่าเฉลี่ยแล้วเราไม่ควรรอมีเงินสดซื้อทั้งหลังแล้วซื้อนะครับ เพราะราคาที่ดินมักจะขึ้นเร็วกว่ารายได้ของเราโดยเฉลี่ยนะครับ
ประเด็นที่ 2 การซื้อบ้านนั้น จริงๆแล้วมีดอกเบี้ยต่ำมากๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเราต้องหัก "เงินเฟ้อ" เข้าไปในดอกเบี้ยด้วย เช่น ปีละ 2-3% ในช่วงเศรษฐกิจปกตินะครับ นั่นแปลว่าเราจ่ายดอกเบี้ยแท้จริง (Real Interest) กันเพียงแค่ 2-3% ต่อปีเท่านั้น แค่เอาเงินที่จะโปะบ้าน หรือซื้อสด มาซื้อกองทุนเพื่อลดภาษี แค่นี้ก็คุ้มกว่าเห็นๆแล้วครับ
ประเด็นที่ 3 ส่วนตัวผมเป็นคนวางแผนการเงินพอสมควร ตอนที่ผมซื้อนั้น สิ่งที่ผมต้องเตรียมไว้คือ "เงินสำรอง" เพิ่มขึ้นจากเดิมผมจะมีเงินสำรองในมือพอใช้จ่ายประมาณ 3 เดือน ผมก็สะสมเพิ่มเป็น 6 เดือน และดาวน์ขั้นต่ำ ผ่อนขั้นต่ำ (ผ่อนให้ยาวที่สุด) และซื้อประกันชีวิตที่ผูกกับบ้านด้วย แล้วจัดเงินส่วนนึงมาซื้อประกันชีวิต เพื่อป้องกันความเสี่ยงในระยะ 15 ปี ก่อนลูกเรียนจบมหาลัย แล้วนอกเหนือจากนั้นผมถึงจะเอามาลงทุนครับ ซึ่งช่วงแรกของการลงทุนของผมมีเงินเพียงไม่กี่แสนบาทครับ ผมซื้อบ้านช่วงปี 2008-2009 ช่วงวิกฤตพอดี เพราะราคาบ้านลดราคากันเยอะ ทำให้ความคุ้มค่าสูงขึ้น หรือมี MOS นั่นเอง พร้อมๆกับขยายกิจการเนื่องจากการลงทุนถูกลงมากด้วยเช่นกัน และพร้อมๆกับลงทุนในตลาดหุ้นด้วยครับ ทำ 3 อย่างที่ใช้เงินเยอะๆทั้งหมดแต่ผมให้น้ำหนักกับการป้องกันความเสี่ยงก่อน จึงทำให้ผมมีเงินลงทุนหุ้นค่อนข้างน้อยครับ ไม่กี่แสนบาท ก็อาจจะทำให้ผมเริ่มต้นด้วยเงินน้อยไปหน่อย ซึ่งน่าเสียดายในช่วงวิกฤตที่ควรจะ maximize การลงทุนก่อนก็น่าจะดีกว่านี้ 🙂 แต่ก็ประสบการณ์ครับ
สรุปตอนผมซื้อบ้านจริงๆผมก็พอมีเงินสดซื้อได้สักครึ่งหลังครับ แต่ดาวน์ขั้นต่ำ ผ่อนขั้นต่ำ แล้วนำเงินไปลงทุนกับการป้องกันความเสี่ยง, ขยายกิจการ และตลาดหุ้น ครับ
ขอบคุณ อจ และคุณหมอชัชมากๆเลยครับ ที่ช่วยแชร์ ได้แง่คิดดีๆเยอะเลยครับ